ปัญหาของคนสมัยนี้คือผมร่วงและศีรษะล้านที่เกิดขึ้นเร็วขึ้นกว่าที่คิด ไม่ว่าจะเกิดจากกรรมพันธุ์ ความเครียดหรือปัจจัยอื่นๆ หลายคนมองหาวิธีแก้ไขที่ให้ผลลัพธ์ถาวรซึ่งถือเป็นหนึ่งในทางเลือกยอดนิยม วันนี้เรารวบรวมมาให้แล้วว่าการปลูกผมมีกี่แบบ แต่ละแบบแตกต่างกันอย่างไร และค่าใช้จ่ายเท่าไหร่? มาหาคำตอบไปพร้อมกันเพื่อเลือกวิธีที่เหมาะกับคุณที่สุดกันครับ
การปลูกผม คืออะไร?
เคยสงสัยไหมว่าการปลูกผมคืออะไรกันแน่? จริงๆแล้วการปลูกผมคือหัตถการทางการแพทย์ที่ช่วยแก้ปัญหาผมร่วงหรือศีรษะล้านโดย ย้ายรากผมจากบริเวณที่แข็งแรง (เช่น ท้ายทอยหรือด้านข้างศีรษะ) ไปยังบริเวณที่ต้องการปลูกผมใหม่ เส้นผมที่ปลูกจะเติบโตขึ้นตามธรรมชาติและสามารถอยู่ได้ถาวร แตกต่างจากวิกผมหรือการใช้ผลิตภัณฑ์ปกปิดผมบาง เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาผมร่วงจากกรรมพันธุ์ ฮอร์โมน หรือสาเหตุอื่นๆ และต้องการกลับมามีผมดกหนาอีกครั้ง
นอกจากช่วยให้เส้นผมดูหนาขึ้นแล้วการปลูกผมยังช่วยปรับรูปหน้าและเสริมบุคลิกภาพได้อีกด้วย เพราะแนวผมที่เหมาะสมจะช่วยให้ใบหน้าดูสมดุลและดูอ่อนเยาว์ขึ้น อย่างไรก็ตามการเลือกปลูกผมต้องมีการวางแผนอย่างละเอียด เพราะการย้ายรากผมนั้น “ย้ายแล้ว ย้ายเลย” ไม่สามารถนำกลับมาใหม่ได้ ดังนั้น ควรศึกษาข้อมูลและปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและคุ้มค่าที่สุด
การปลูกผมมีกี่ประเภท?
ปัจจุบันการปลูกผมสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภทขึ้นอยู่กับเทคนิคที่ใช้ โดยทั่วไปสามารถแบ่งเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่
- การปลูกผมแบบใช้รากผมตัวเอง – วิธีนี้เป็นการย้ายรากผมจริงจากบริเวณที่แข็งแรงไปยังบริเวณที่ต้องการ เช่น แนวไรผม หน้าผาก หรือกลางศีรษะ ผมที่ปลูกจะสามารถเจริญเติบโตได้ตามปกติ และให้ผลลัพธ์ถาวร เทคนิคนี้เป็นที่นิยมมากที่สุดเพราะใช้เส้นผมของตัวเอง ทำให้ดูเป็นธรรมชาติและสามารถไว้ทรงได้ตามปกติ
- การปลูกผมแบบสังเคราะห์ – วิธีนี้ใช้เส้นผมสังเคราะห์หรือวัสดุทางการแพทย์ ที่เลียนแบบเส้นผมจริง ฝังลงบนหนังศีรษะเพื่อเพิ่มความหนา วิธีนี้เหมาะกับคนที่ไม่มีรากผมบริจาคเพียงพอ แต่ข้อเสียคือผมที่ปลูกจะไม่สามารถงอกขึ้นได้เหมือนผมธรรมชาติและอาจต้องมีการดูแลหรือเปลี่ยนใหม่เป็นระยะ
การเลือกประเภทของการปลูกผมขึ้นอยู่กับสาเหตุของผมร่วง ลักษณะเส้นผม และคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เหมาะสมและดูเป็นธรรมชาติที่สุด
การทำงานของเทคนิคต่าง ๆ (เช่น FUE, FUT)

ปัจจุบันมีหลายเทคนิคในการปลูกผม ซึ่งแต่ละเทคนิคมีจุดเด่นและความเหมาะสมที่แตกต่างกัน การเลือกใช้ขึ้นอยู่กับสภาพเส้นผม ความต้องการของผู้เข้ารับการรักษา และคำแนะนำจากแพทย์ โดยเทคนิคหลักๆ ได้แก่
- FUE (Follicular Unit Extraction) – เทคนิคนี้ใช้การเจาะเก็บกราฟต์ผม (รากผม) ออกมาเป็นหน่วยๆ โดยตรงจากบริเวณผู้บริจาค ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดเป็นแถบ วิธีนี้ช่วยลดการเกิดแผลเป็นขนาดใหญ่ ทำให้แผลหายเร็วขึ้น และสามารถนำไปปลูกในบริเวณที่ต้องการได้อย่างอิสระ นอกจากนี้ยังเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปลูกผมบริเวณเครา คิ้ว หรือไรผม เพราะสามารถเลือกเก็บรากผมที่มีลักษณะใกล้เคียงกับเส้นผมธรรมชาติในแต่ละจุดได้
- FUT (Follicular Unit Transplantation) – หรือที่เรียกว่า “Strip Method” เป็นการผ่าตัดนำหนังศีรษะเป็นแถบออกจากบริเวณท้ายทอย แล้วนำไปคัดแยกกราฟต์ผมเพื่อนำไปปลูก วิธีนี้สามารถเก็บกราฟต์ผมได้เป็นจำนวนมากในครั้งเดียว ทำให้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปลูกผมจำนวนมากหรือมีศีรษะล้านเป็นบริเวณกว้าง อย่างไรก็ตามเนื่องจากเป็นการผ่าตัด จึงอาจทำให้เกิดรอยแผลเป็นเป็นเส้นบริเวณด้านหลังศีรษะ ซึ่งต้องใช้เวลาพักฟื้นนานกว่า FUE และอาจต้องไว้ผมยาวเพื่อปกปิดแผล
- DHI (Direct Hair Implantation) – เป็นการพัฒนาจากเทคนิค FUE โดยใช้เครื่องมือพิเศษที่เรียกว่า “Implanter Pen” ในการฝังรากผมโดยตรงลงบนบริเวณที่ต้องการปลูก โดยไม่ต้องเปิดแผลก่อน เทคนิคนี้ช่วยลดเวลาการปลูกทำให้กราฟต์ผมแข็งแรงและมีโอกาสรอดสูงขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถกำหนดทิศทางและองศาของเส้นผมได้อย่างแม่นยำ ส่งผลให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มความหนาแน่นของเส้นผม โดยเฉพาะบริเวณแนวไรผมหรือกลางศีรษะ
- Long Hair FUE – เป็นเทคนิคที่คล้ายกับ FUE แต่แตกต่างตรงที่สามารถปลูกเส้นผมที่ยังมีความยาวได้ทันที โดยไม่ต้องโกนศีรษะทั้งหมด วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ทันทีและไม่ต้องการให้คนอื่นสังเกตเห็นว่าผ่านการปลูกผมมา อย่างไรก็ตามเนื่องจากเป็นเทคนิคที่ซับซ้อนและต้องใช้ความละเอียดสูงในการคัดเลือกและย้ายรากผม จึงใช้เวลานานและมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าการปลูกผมแบบ FUE ปกติ นอกจากนี้จำนวนกราฟต์ที่สามารถปลูกได้ในแต่ละครั้งอาจน้อยกว่าเทคนิคอื่นๆ
- Micro Hair Transplant – เป็นเทคนิคการปลูกผมที่ใช้หัวเจาะและอุปกรณ์พิเศษขนาดเล็กมาก ทำให้สามารถเก็บและปลูกกราฟต์ผมได้อย่างแม่นยำ ลดความเสียหายของรากผม และช่วยให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติยิ่งขึ้นโดยเฉพาะกับบริเวณแนวไรผมด้านหน้า เทคนิคนี้ช่วยให้แนวไรผมดูอ่อนนุ่มและเป็นธรรมชาติ ไม่เป็นเส้นแข็งหรือดูไม่สมจริงเหมือนการปลูกผมแบบดั้งเดิม เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับแต่งแนวไรผมหรือเพิ่มความหนาแน่นของเส้นผมในบริเวณที่มีเส้นผมเดิมอยู่แล้ว
แต่ละเทคนิคมีข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกันการเลือกใช้วิธีที่เหมาะสมควรพิจารณาจากสภาพหนังศีรษะ ลักษณะเส้นผม และเป้าหมายของแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและดูเป็นธรรมชาติที่สุด
กระบวนการในการปลูกผม
การปลูกผมเป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยความละเอียดและเทคนิคเฉพาะทางเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ โดยทั่วไปสามารถแบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอนหลัก ได้แก่
- การประเมินและวางแผน – ก่อนทำการปลูกผมแพทย์จะทำการวิเคราะห์หนังศีรษะ ตรวจสอบความแข็งแรงของรากผม และประเมินพื้นที่ที่ต้องการปลูก จากนั้นจะวางแผนการออกแบบแนวไรผมให้เหมาะสมกับโครงหน้าของผู้เข้ารับการรักษา ขั้นตอนนี้ยังรวมถึงการกำหนดจำนวนกราฟต์ที่ต้องใช้และเทคนิคที่เหมาะสมเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ
- การเก็บกราฟต์ผม (รากผม) – เป็นขั้นตอนที่นำรากผมจากบริเวณผู้บริจาค (ส่วนใหญ่คือบริเวณท้ายทอยหรือด้านข้างของศีรษะ) ซึ่งมีความแข็งแรงและไม่ไวต่อฮอร์โมนที่ทำให้ผมร่วง หากใช้เทคนิค FUE รากผมจะถูกเจาะและดึงออกมาเป็นหน่วยๆ ส่วนในเทคนิค FUT จะใช้วิธีผ่าตัดนำหนังศีรษะเป็นแถบออกมาแล้วคัดแยกรากผม การเก็บกราฟต์ต้องทำอย่างระมัดระวังเพื่อป้องกันความเสียหายของรากผม
- การเตรียมกราฟต์ผม – หลังจากเก็บรากผมแล้วทีมแพทย์และเจ้าหน้าที่จะทำการคัดแยกกราฟต์ผมภายใต้กล้องจุลทรรศน์ เพื่อคัดเลือกเฉพาะกราฟต์ที่แข็งแรงและสมบูรณ์ที่สุด ขั้นตอนนี้มีความสำคัญอย่างมาก เพราะจะส่งผลโดยตรงต่ออัตราการรอดของเส้นผมที่ปลูกใหม่ รวมถึงความเป็นธรรมชาติของผลลัพธ์
- การปลูกผมในบริเวณที่ต้องการ – เป็นขั้นตอนที่แพทย์ทำการฝังกราฟต์ผมลงไปในบริเวณที่กำหนด โดยใช้เครื่องมือพิเศษที่ช่วยกำหนดทิศทาง ความลึก และองศาของเส้นผม เพื่อให้ได้แนวผมที่เป็นธรรมชาติที่สุด ในเทคนิค DHI จะใช้ Implanter Pen ในการปลูกผมโดยตรง ซึ่งช่วยลดเวลาที่รากผมอยู่นอกหนังศีรษะ ทำให้อัตราการรอดสูงขึ้น หลังจากปลูกเสร็จแพทย์จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลหลังทำ เพื่อให้เส้นผมที่ปลูกแข็งแรงและขึ้นใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อดีของการปลูกผม
- ให้ผลลัพธ์ถาวรและเป็นธรรมชาติ
การปลูกผมใช้รากผมจริงจากบริเวณที่แข็งแรงของศีรษะ ทำให้เส้นผมที่ขึ้นใหม่สามารถเจริญเติบโตได้ตามธรรมชาติ ไม่ต้องกังวลเรื่องการหลุดร่วงเหมือนการใช้วิกหรือผมปลอม - เพิ่มความมั่นใจและปรับบุคลิกภาพ
ผมที่หนาขึ้นช่วยเสริมบุคลิกให้ดูดีขึ้นและลดความกังวลเกี่ยวกับปัญหาศีรษะล้าน การมีแนวไรผมที่ดูเป็นธรรมชาติช่วยให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้นและสามารถจัดแต่งทรงผมได้หลากหลายกว่าเดิม - ดูแลง่าย ไม่ต้องใช้ผลิตภัณฑ์ปิดบัง
หลังจากเส้นผมที่ปลูกขึ้นใหม่แข็งแรงแล้วสามารถสระ ไดร์ และจัดทรงได้ตามปกติ ไม่จำเป็นต้องใช้สเปรย์ปกปิดผมบางหรือสวมวิกเพื่อปิดบังบริเวณที่ล้าน - สามารถแก้ปัญหาผมบางจากกรรมพันธุ์ได้
การปลูกผมเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาศีรษะล้านจากกรรมพันธุ์ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของผมร่วงถาวร การใช้รากผมที่ไม่ไวต่อฮอร์โมน DHT ทำให้เส้นผมใหม่สามารถอยู่ได้ตลอดชีวิต - เป็นการแก้ปัญหาที่คุ้มค่าในระยะยาว
แม้ว่าค่าใช้จ่ายในการปลูกผมจะสูงกว่าการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงหรือวิธีอื่นๆ แต่เมื่อพิจารณาถึงผลลัพธ์ถาวร การปลูกผมถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เพราะไม่ต้องเสียเงินไปกับการซื้อผลิตภัณฑ์แก้ผมร่วงต่อเนื่อง
ข้อเสียของการปลูกผม
- ค่าใช้จ่ายสูงกว่าวิธีแก้ปัญหาผมบางอื่นๆ
การปลูกผมมีต้นทุนที่ค่อนข้างสูง เนื่องจากต้องใช้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญและเทคโนโลยีเฉพาะทาง แม้ว่าจะให้ผลลัพธ์ถาวร แต่ค่าใช้จ่ายอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้บางคนไม่สามารถเข้ารับการรักษาได้ - ใช้เวลาพักฟื้นและเห็นผลลัพธ์เต็มที่นาน
หลังการปลูกผมอาจต้องใช้เวลากว่าที่เส้นผมใหม่จะงอกขึ้นและเห็นผลชัดเจน นอกจากนี้ผู้เข้ารับการรักษาอาจต้องรอประมาณ 6-12 เดือนเพื่อให้ผมหนาขึ้นอย่างสมบูรณ์ - ต้องมีเส้นผมบริจาคเพียงพอ
ผู้ที่มีภาวะศีรษะล้านรุนแรงอาจไม่มีเส้นผมบริจาคเพียงพอสำหรับการปลูกผม ส่งผลให้บางคนอาจไม่สามารถปลูกผมได้ หรืออาจต้องใช้เทคนิคอื่นๆ ควบคู่กันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ - อาจมีอาการข้างเคียงหลังทำ
หลังปลูกผมอาจมีอาการบวม แดง หรือคันในบริเวณที่ทำการปลูกและบริเวณที่เก็บรากผม นอกจากนี้ ยังมีโอกาสเกิดอาการ “Shock Loss” หรือการหลุดร่วงของเส้นผมชั่วคราวในช่วงแรกของการรักษาซึ่งต้องใช้เวลารอให้เส้นผมขึ้นใหม่ - ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของแพทย์
หากแพทย์ไม่มีความชำนาญ อาจทำให้แนวไรผมดูไม่เป็นธรรมชาติหรืออัตราการรอดของกราฟต์ผมต่ำ ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ไม่สมบูรณ์แบบ ดังนั้นการเลือกคลินิกที่มีแพทย์เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์สูงจึงเป็นสิ่งสำคัญมากในการปลูกผม
ผลข้างเคียงของการปลูกผม
- อาการบวมและรอยแดงบริเวณที่ปลูกและบริเวณที่เก็บรากผม
หลังจากการปลูกผมผู้เข้ารับการรักษาอาจมีอาการบวมและรอยแดงบริเวณหนังศีรษะ ซึ่งเป็นปฏิกิริยาตามธรรมชาติของร่างกายต่อการรักษา อาการเหล่านี้มักเกิดขึ้นในช่วง 3-7 วันแรกและจะค่อยๆ ดีขึ้นเมื่อร่างกายฟื้นตัว ในบางกรณีอาจมีอาการคันร่วมด้วย ไม่ควรเกาบริเวณที่ปลูกผมเพราะอาจทำให้กราฟต์ผมเสียหายได้ แพทย์มักแนะนำให้ใช้ยาลดบวมและยาฆ่าเชื้อเพื่อช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น - Shock Loss หรือภาวะผมร่วงชั่วคราวหลังปลูก
โดยปกติแล้วหลังจากปลูกผมไปได้ประมาณ 2-6 สัปดาห์ ผมที่ปลูกใหม่อาจหลุดร่วงชั่วคราว ซึ่งเป็นกระบวนการปกติที่เกิดขึ้นจากการที่รากผมต้องปรับตัวก่อนจะเริ่มสร้างเส้นผมใหม่ อาการนี้อาจทำให้ผู้เข้ารับการรักษากังวล แต่เส้นผมจะเริ่มงอกขึ้นใหม่ภายใน 3-4 เดือน ในช่วงนี้แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงรากผม หรือทานอาหารที่ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของเส้นผมเพื่อให้ผมขึ้นเร็วขึ้น หลังจากช่วงนี้ผมใหม่ที่ขึ้นมาจะเป็นเส้นผมถาวรและแข็งแรงขึ้นตามธรรมชาติ - มีแผลเป็นหรือรอยแผลจากการเก็บกราฟต์ผม
สำหรับผู้ที่เลือกเทคนิค FUT หรือ Strip Method อาจมีรอยแผลเป็นเป็นเส้นยาวบริเวณท้ายทอย เนื่องจากเป็นการผ่าตัดหนังศีรษะออกมาเป็นแถบ แม้ว่าแพทย์จะพยายามเย็บแผลให้เนียนที่สุด แต่ในบางกรณีอาจเกิดแผลเป็นที่เห็นได้ถ้าผมสั้นเกินไป ส่วนในเทคนิค FUE แม้จะไม่มีแผลเป็นขนาดใหญ่ แต่ก็อาจมีรอยจุดเล็กๆ จากการเจาะกราฟต์ผมซึ่งในบางคนอาจเห็นได้ชัดหากตัดผมสั้นมาก การเลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์จะช่วยลดโอกาสเกิดแผลเป็นที่ชัดเจนได้ - อาการติดเชื้อหรืออักเสบที่หนังศีรษะ
แม้ว่าการปลูกผมจะเป็นหัตถการที่ปลอดภัย แต่ก็มีโอกาสเกิดการติดเชื้อได้หากไม่ดูแลความสะอาดของแผลอย่างเหมาะสม อาการติดเชื้ออาจแสดงออกมาในรูปของแผลอักเสบ หนอง หรืออาการปวดที่บริเวณที่ปลูกผมหรือบริเวณที่เก็บรากผม โดยปกติแพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันการติดเชื้อหลังการรักษา แต่ผู้เข้ารับการปลูกผมก็ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือเกาบริเวณที่ปลูกผมในช่วงแรก การรักษาความสะอาดของหนังศีรษะและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์จะช่วยลดความเสี่ยงของภาวะนี้ - อาการชาหรือสูญเสียความรู้สึกชั่วคราวในบริเวณที่ปลูกผม
เนื่องจากการปลูกผมเป็นหัตถการที่ต้องใช้เครื่องมือเจาะหรือผ่าตัดหนังศีรษะ อาจทำให้เส้นประสาทบริเวณนั้นได้รับผลกระทบชั่วคราว ส่งผลให้บางคนรู้สึกชาหรือสูญเสียความรู้สึกบริเวณที่ปลูกผมหรือท้ายทอยที่เป็นจุดเก็บกราฟต์ อาการนี้มักเกิดขึ้นในช่วงแรกหลังการปลูกผมและจะค่อยๆ ดีขึ้นภายในไม่กี่สัปดาห์หรืออาจนานถึง 3-6 เดือนในบางกรณี อย่างไรก็ตามหากอาการชายังคงอยู่เป็นเวลานาน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินอาการและหาทางแก้ไขเพิ่มเติม
ผลข้างเคียงของการปลูกผมสามารถเกิดขึ้นได้ในบางกรณี แต่โดยทั่วไปแล้วอาการเหล่านี้มักเป็นเพียงชั่วคราวและสามารถจัดการได้ด้วยการดูแลที่เหมาะสม
ใครเหมาะกับการปลูกผม?
- ผู้ที่มีปัญหาผมร่วงหรือศีรษะล้านจากกรรมพันธุ์
คนที่มีภาวะผมบางหรือศีรษะล้านจากกรรมพันธุ์ (Androgenetic Alopecia) เป็นกลุ่มที่เหมาะกับการปลูกผมมากที่สุด เนื่องจากเส้นผมที่นำมาปลูกจะไม่ไวต่อฮอร์โมน DHT ทำให้สามารถขึ้นใหม่และอยู่ถาวร การปลูกผมช่วยคืนความหนาแน่นของเส้นผมและเสริมบุคลิกภาพให้ดูดีขึ้น - ผู้ที่ต้องการปรับแนวไรผมให้ดูเป็นธรรมชาติ
คนที่มีแนวไรผมสูงเกินไปหรือแนวไรผมไม่สมดุลสามารถใช้การปลูกผมเพื่อปรับรูปหน้าให้ดูดีขึ้น เทคนิคนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเสริมความมั่นใจและให้เส้นผมดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น โดยเฉพาะคนที่ต้องการปรับแนวหน้าผากให้เล็กลงหรือมีรูปทรงที่เหมาะกับใบหน้า - ผู้ที่เคยได้รับบาดเจ็บหรือมีแผลเป็นบนหนังศีรษะ
คนที่มีแผลเป็นจากอุบัติเหตุ การผ่าตัด หรือแผลไฟไหม้ที่ทำให้ผมบริเวณนั้นไม่สามารถงอกขึ้นเองได้ อาจเลือกใช้การปลูกผมเพื่อปกปิดรอยแผล แพทย์จะต้องประเมินสภาพหนังศีรษะก่อนว่ามีความพร้อมในการรองรับรากผมหรือไม่ - ผู้ที่เคยทำศัลยกรรมและมีผลกระทบต่อแนวเส้นผม
คนที่เคยทำศัลยกรรมเช่นการดึงหน้า (Facelift) หรือการปลูกผมครั้งก่อนแล้วแนวไรผมไม่เป็นธรรมชาติ สามารถใช้การปลูกผมแก้ไขแนวผมที่ผิดรูปหรือไม่สมมาตรได้ เทคนิคนี้ช่วยให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้นและลดรอยแผลที่อาจเห็นชัด - ผู้ที่ต้องการเพิ่มความหนาของเส้นผม เครา หรือคิ้ว
นอกจากการปลูกผมบนศีรษะแล้ว คนที่ต้องการเสริมความหนาของเครา หนวด หรือคิ้ว ก็สามารถทำได้เช่นกัน เทคนิคนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีเส้นขนบางในบริเวณดังกล่าว หรือเคยถอนขนบ่อยจนเกิดปัญหาขนขึ้นไม่สม่ำเสมอ - ผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรงและมีเส้นผมบริจาคเพียงพอ
การปลูกผมต้องอาศัยเส้นผมจากบริเวณที่แข็งแรงของตัวเองเช่นท้ายทอยหรือด้านข้างศีรษะ ผู้ที่มีเส้นผมบริจาคไม่เพียงพออาจไม่สามารถปลูกผมได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ผู้เข้ารับการปลูกผมควรมีสุขภาพแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัวที่อาจส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของร่างกาย
การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการปลูกผม
- เข้ารับคำปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
ควรพบแพทย์เพื่อวิเคราะห์สภาพหนังศีรษะ ประเมินระดับความบางของเส้นผม และเลือกเทคนิคที่เหมาะสม แพทย์จะช่วยกำหนดจำนวนกราฟต์ที่ต้องใช้และออกแบบแนวไรผมให้ดูเป็นธรรมชาติ - หลีกเลี่ยงยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด
ควรงดใช้ยาแอสไพริน ยาต้านการแข็งตัวของเลือด และอาหารเสริมบางชนิด เช่น วิตามินอี น้ำมันปลา และโสม อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ก่อนปลูกผม เพราะอาจทำให้เลือดออกง่ายและชะลอการฟื้นตัว - งดสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์สามารถลดการไหลเวียนของเลือดไปยังหนังศีรษะ ทำให้รากผมที่ปลูกมีโอกาสรอดน้อยลง ควรงดอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ก่อนและหลังการปลูกผม - ล้างหนังศีรษะให้สะอาดในวันก่อนเข้ารับการปลูกผม
ควรสระผมให้สะอาดในคืนก่อนหรือเช้าวันเข้ารับการรักษา เพื่อขจัดน้ำมันและสิ่งสกปรกบนหนังศีรษะ หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผม เช่น เจลหรือสเปรย์ - นอนพักผ่อนให้เพียงพอ
ควรนอนหลับให้เพียงพออย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงก่อนวันปลูกผม เพื่อให้ร่างกายมีความพร้อมสูงสุดและลดความเครียดก่อนเข้ารับการรักษา - สวมเสื้อที่ถอดง่ายในวันเข้ารับการรักษา
ควรเลือกใส่เสื้อที่มีกระดุมหน้าแทนเสื้อสวมศีรษะ เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียดสีบริเวณที่ปลูกผมเมื่อต้องถอดหรือสวมเสื้อหลังทำเสร็จ
การดูแลตัวเองหลังเข้ารับการปลูกผม

- หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือเกาบริเวณที่ปลูกผม
ในช่วง 7-10 วันแรก ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือเกาบริเวณที่ปลูกผม เพราะอาจทำให้กราฟต์ผมที่ปลูกใหม่หลุดออกได้ หากรู้สึกคันสามารถใช้สเปรย์น้ำเกลือที่แพทย์ให้มาเพื่อลดอาการคัน - นอนศีรษะสูงเพื่อลดอาการบวม
ควรใช้หมอนรองคอหรือนอนยกศีรษะให้สูงประมาณ 30-45 องศา ในช่วง 3-5 วันแรกหลังทำ เพื่อลดอาการบวมของหนังศีรษะ ไม่ควรนอนคว่ำหรือนอนตะแคงเพราะอาจทำให้กราฟต์ผมเสียหายได้ - งดสระผมใน 48 ชั่วโมงแรก
หลังจากปลูกผม ควรหลีกเลี่ยงการสระผมเป็นเวลา 48 ชั่วโมง หลังจากนั้นสามารถใช้แชมพูสูตรอ่อนโยนที่แพทย์แนะนำ โดยสระผมเบาๆ และหลีกเลี่ยงการขยี้หรือถูหนังศีรษะแรงๆ - งดออกกำลังกายหนักและกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมาก
ในช่วง 2 สัปดาห์แรก ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก วิ่ง หรือกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมาก เพราะอาจทำให้เกิดการติดเชื้อและส่งผลต่อการยึดติดของกราฟต์ผม - งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่
ควรงดแอลกอฮอล์และบุหรี่อย่างน้อย 2 สัปดาห์หลังปลูกผม เพราะสารในบุหรี่และแอลกอฮอล์อาจส่งผลให้การไหลเวียนของเลือดลดลง ทำให้รากผมใหม่ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ - ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
แพทย์จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับการใช้ยาแก้อักเสบ ยาลดบวม และผลิตภัณฑ์ดูแลหนังศีรษะหลังปลูกผม ควรปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดเพื่อให้การฟื้นตัวเป็นไปอย่างราบรื่นและได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
กระบวนการการปลูกผม: การเตรียมตัวและขั้นตอนการปลูก
- การประเมินและวางแผน:
แพทย์จะทำการประเมินสภาพผมของผู้เข้ารับบริการ รวมถึงตรวจสอบสุขภาพทั่วไป เช่น ความยืดหยุ่นของหนังศรีษะ ความหนาแน่นของเส้นผมบริเวณ Donor Site เพื่อกำหนดจำนวนกราฟต์และเทคนิคที่เหมาะสม เช่น FUT หรือ FUE โดยวางแผนทิศทางการปลูกและความหนาแน่นที่ต้องการ เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาดูเป็นธรรมชาติ - การเตรียมตัวก่อนการปลูกผม:
ก่อนเข้ารับการปลูกผม ผู้เข้ารับบริการควรเตรียมตัวดังนี้:
- งดแอลกอฮอล์และบุหรี่: อย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนการปลูกผม เพื่อลดโอกาสการเกิดแผลเป็นและการฟื้นตัวเร็วขึ้น
- งดยาบางชนิด: เช่น ยาแอสไพริน ยาต้านการแข็งตัวของเลือด และอาหารเสริมบางชนิดที่อาจส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด
- เตรียมตัวในด้านสุขภาพ: ควรพักผ่อนให้เพียงพอและดื่มน้ำอย่างเพียงพอ
- ขั้นตอนการปลูกผม:
ในวันปลูกผม ขั้นตอนการปลูกจะแตกต่างกันตามเทคนิคที่เลือก (FUT หรือ FUE) โดยเริ่มจากการใช้ยาชาเฉพาะที่และการสกัดรากผมตามเทคนิคที่เหมาะสม หลังจากสกัดกราฟต์เสร็จเรียบร้อยแล้ว จะนำกราฟต์ที่เตรียมไว้ไปปลูกในบริเวณที่ขาดเส้นผม โดยแพทย์จะวางทิศทาง ความหนาแน่น และมุมของกราฟต์อย่างละเอียดเพื่อให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติที่สุด
เทคนิคการปลูกผมที่ 42G Clinic
ที่ 42G Clinic เราให้บริการปลูกผมด้วยเทคนิคที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพสูง ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล โดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญของเราจะช่วยแนะนำวิธีที่ดีที่สุดให้กับคุณ โดยเทคนิคที่เรามี ได้แก่
- FUE (Follicular Unit Extraction)
เทคนิคการปลูกผมแบบ FUE เป็นการใช้เครื่องมือพิเศษเจาะเก็บรากผมทีละหน่วยจากบริเวณท้ายทอย โดยไม่ต้องผ่าตัดหรือเย็บแผล ทำให้ฟื้นตัวเร็วและไม่มีแผลเป็นขนาดใหญ่ วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและต้องการลดระยะเวลาพักฟื้น - DHI (Direct Hair Implantation)
เทคนิค DHI เป็นการพัฒนาต่อยอดจาก FUE โดยใช้ Implanter Pen ในการฝังรากผมโดยตรงลงไปในหนังศีรษะ ทำให้สามารถกำหนดองศาและทิศทางของเส้นผมได้อย่างแม่นยำ ช่วยให้เส้นผมขึ้นใหม่เป็นธรรมชาติและแน่นขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเติมความหนาของเส้นผมให้ดูเต็มขึ้นโดยไม่ต้องโกนศีรษะ - Long Hair FUE
เทคนิคนี้เป็นการปลูกผมโดยไม่ต้องโกนผมก่อน ช่วยให้ผู้เข้ารับบริการสามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันทีหลังทำ โดยยังคงความยาวของเส้นผมเดิมไว้ เทคนิคนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงลุคโดยไม่ต้องผ่านช่วงที่ผมสั้นหรือรอให้ผมงอกขึ้นใหม่ - Micro Hair Transplant
เป็นเทคนิคที่ใช้เครื่องมือขนาดเล็กมากในการปลูกผม ช่วยให้แนวไรผมดูเป็นธรรมชาติและมีความละเอียดสูง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปลูกผมบริเวณแนวหน้า เครา หรือคิ้ว โดยเน้นการออกแบบแนวเส้นผมที่ดูสมจริงและเข้ากับโครงหน้าของแต่ละคน
ความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนจากการปลูกผม
การปลูกผมเป็นหัตถการที่มีความปลอดภัยสูง แต่ก็ยังมีความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น อาการบวม รอยแดง และอาการคัน ซึ่งมักเกิดขึ้นในช่วงแรกหลังการปลูกผม เนื่องจากหนังศีรษะต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว นอกจากนี้บางคนอาจพบภาวะ Shock Loss หรือการหลุดร่วงของเส้นผมชั่วคราวในบริเวณที่ปลูก ซึ่งเป็นกระบวนการปกติที่เกิดขึ้นก่อนที่เส้นผมใหม่จะงอกขึ้นมา อย่างไรก็ตาม หากได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง อาการเหล่านี้จะค่อยๆ ดีขึ้นและไม่ส่งผลกระทบต่อผลลัพธ์ระยะยาว
ในบางกรณีอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงขึ้น เช่น การติดเชื้อหรือการอักเสบของรูขุมขน หากไม่ดูแลความสะอาดของแผลหลังปลูกผมอย่างเหมาะสม นอกจากนี้ อาจมีการเกิด แผลเป็นหรือรอยแผลบริเวณที่เก็บกราฟต์ผม โดยเฉพาะในผู้ที่เลือกใช้เทคนิค FUT ซึ่งต้องมีการผ่าตัดนำแถบหนังศีรษะออกมา อีกปัจจัยที่ต้องคำนึงถึงคือ จำนวนรากผมที่สามารถย้ายได้มีจำกัด เพราะการย้ายรากผมจากด้านหลังศีรษะไปยังบริเวณที่ล้าน เมื่อย้ายแล้วจะไม่สามารถนำกลับมาได้ และในแต่ละครั้งผมบริเวณด้านหลังก็จะบางลงเรื่อยๆ ดังนั้น ผู้ที่ต้องการปลูกผมหลายรอบต้องมีการวางแผนอย่างรอบคอบ การเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐานและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจึงเป็นสิ่งสำคัญในการลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการได้รับผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
ทำไมต้องปลูกผมกับ 42G Clinic?
- ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการปลูกผม
ที่ 42G Clinic ทีมแพทย์ของเรามีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางในการปลูกผม และมีประสบการณ์ในการออกแบบแนวไรผมให้ดูเป็นธรรมชาติมามากกว่า9ปี เทคนิคที่ใช้ได้รับการพัฒนาให้เหมาะกับแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและถาวร - เทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด
เราใช้เทคนิค FUT และ FUE ซึ่งเป็นเทคโนโลยีปลูกผมที่มีประสิทธิภาพสูง และได้รับการออกแบบให้เหมาะกับสภาพผมและลักษณะหนังศีรษะของแต่ละคน การใช้เครื่องมือและเทคนิคที่ทันสมัยช่วยให้การปลูกผมแม่นยำ ลดอาการบวม และช่วยให้ฟื้นตัวเร็วขึ้น - ดูแลครบทุกขั้นตอน ตั้งแต่ต้นจนจบ
ที่ 42G Clinic เราให้คำปรึกษาในทุกขั้นตอนของการปลูกผม ตั้งแต่การประเมินสภาพเส้นผม การเตรียมตัวก่อนทำ การดำเนินการปลูกผมโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ไปจนถึงการดูแลหลังทำเพื่อให้กราฟต์ผมที่ปลูกติดแน่นและเติบโตอย่างแข็งแรง - ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและความพึงพอใจสูงสุด
เราให้ความสำคัญกับความพึงพอใจของผู้เข้ารับบริการทุกคน โดยออกแบบแนวผมและเลือกเทคนิคที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง