ปลูกผม แบบไหนดี รู้ทุกเรื่อง! DHI vs FUE ควรเลือกปลูกผมวิธีไหน

ปลูกผม แบบไหนดี รู้ทุกเรื่อง! DHI vs FUE ควรเลือกปลูกผมวิธีไหน

Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipiscing elit. Ut elit tellus, luctus nec ullamcorper mattis, pulvinar dapibus leo.

 ปัญหาผมร่วงและผมบางเป็นเรื่องที่หลายคนกังวล ซึ่งการปลูกผมเป็นหนึ่งในวิธีแก้ปัญหาที่ได้รับความนิยม ปัจจุบันมีหลายเทคนิคให้เลือก และคำถามที่พบบ่อยคือ วิธีไหนดีที่สุด? หมอว่าคำตอบขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละคน เพราะแต่ละเทคนิคมีข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน

ในบทความนี้ หมอจะพาคุณไปรู้จักกับเทคนิคปลูกผมแบบ FUE (Follicular Unit Extraction) และ DHI (Direct Hair Implantation) พร้อมเปรียบเทียบข้อดี ข้อเสีย และความเหมาะสม เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกวิธีที่เหมาะกับตัวเองที่สุดครับ

การปลูกผม คืออะไร? ปลูกผมแบบไหนดี?

การปลูกผมเป็นการศัลยกรรมที่ช่วยแก้ปัญหาผมร่วงและศีรษะล้าน โดยใช้เทคนิคการย้ายรากผมจากบริเวณที่แข็งแรง เช่น ด้านหลังศีรษะ หรือท้ายทอย มาปลูกในบริเวณที่ต้องการ ซึ่งช่วยให้เส้นผมใหม่งอกขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ และดูแนบเนียนไปกับเส้นผมเดิม

การปลูกผมมีหลายเทคนิคให้เลือก เช่น FUT, FUE และ DHI ซึ่งแต่ละแบบมีจุดเด่นและข้อจำกัดต่างกันไป บางคนอาจต้องการปลูกให้แน่นที่สุด ในขณะที่บางคนอยากให้ดูเป็นธรรมชาติโดยไม่ต้องโกนผมก่อน หมอว่าก่อนตัดสินใจปลูกผม ควรทำความเข้าใจแต่ละเทคนิคให้ดี เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เหมาะกับตัวเองที่สุดครับ

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับการปลูกผม: 42G Clinic ปลูกผมถาวร

ทำความรู้จักการปลูกผมแบบ FUE

FUE (Follicular Unit Extraction) เป็นเทคนิคปลูกผมที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบัน เพราะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ ไม่มีรอยแผลเป็นแนวยาว และมีระยะเวลาพักฟื้นที่สั้น หมอว่าเทคนิคนี้เหมาะสำหรับคนที่ต้องการเติมเต็มเส้นผมในบริเวณที่บางลง หรือแม้แต่ปรับแนวไรผมให้ดูสวยขึ้นโดยไม่ต้องกังวลเรื่องแผลใหญ่

หลักการของ FUE คือ การสกัดรากผมทีละกอจากบริเวณที่มีเส้นผมแข็งแรง เช่น ท้ายทอย หรือข้างศีรษะ แล้วนำไปปลูกยังบริเวณที่ต้องการ วิธีนี้ช่วยลดการเกิดรอยแผลเป็นแบบแถบยาว (ซึ่งพบในเทคนิค FUT) ทำให้สามารถไว้ผมสั้นได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องรอยแผลเป็น

ข้อดีของการปลูกผมแบบ FUE

  1. ไม่มีแผลเป็นแนวยาว – เนื่องจาก FUE ใช้เทคนิคการเจาะสกัดรากผมทีละกอ ทำให้เกิดแผลขนาดเล็กมาก (ประมาณ 0.6-1.0 มม.) ซึ่งต่างจาก FUT ที่ต้องตัดหนังศีรษะออกเป็นแถบ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการไว้ผมสั้น เพราะไม่มีรอยแผลที่เห็นได้ชัด
  2. ฟื้นตัวเร็วและไม่ต้องพักฟื้นนาน – แผลที่เกิดขึ้นจากการสกัดรากผมจะหายภายใน 7-10 วัน สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้เร็วขึ้น เมื่อเทียบกับเทคนิค FUT
  3. ลดความเสี่ยงของการเกิดแผลเป็นขยายตัว – แผลจาก FUE มีขนาดเล็ก ทำให้ไม่เกิดรอยแผลเป็นขยายตัว (Stretch-back Scar) ซึ่งเป็นปัญหาที่พบได้ใน FUT
  4. สามารถเลือกปลูกเฉพาะจุดได้ – เหมาะสำหรับคนที่ต้องการเติมแนวไรผม ปลูกเฉพาะจุด หรือเสริมความหนาแน่นให้เส้นผมเดิม
  5. สามารถใช้เทคนิคเสริมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ –  สามารถใช้ร่วมกับ PRP Therapy หรือ Growth Factor เพื่อกระตุ้นให้รากผมที่ปลูกใหม่แข็งแรงขึ้นและลดโอกาสการหลุดร่วง

ข้อควรระวังของการปลูกผมแบบ FUE

  1. ใช้เวลานานกว่าการปลูกผมแบบ FUT –  เนื่องจากแพทย์ต้องสกัดรากผมทีละกอและนำไปปลูกใหม่ ทำให้ใช้เวลานานขึ้น การปลูกผมจำนวนมาก (มากกว่า 3,000 กราฟท์) อาจต้องใช้เวลา 2 วันในการทำ
  2. ค่าใช้จ่ายสูงกว่า FUT –  เนื่องจากเป็นเทคนิคที่ต้องใช้ความละเอียดสูงและใช้เวลานานกว่าปกติ ราคาของ FUE จึงมักสูงกว่า FUT
  3. ต้องใช้แพทย์ที่มีประสบการณ์สูง –  การปลูกผมให้ดูเป็นธรรมชาติต้องอาศัยแพทย์ที่มีความชำนาญในการออกแบบแนวผม และการปลูกผมในทิศทางที่ถูกต้อง
  4. บางกรณีอาจต้องโกนผมบริเวณที่สกัดรากผม –  สำหรับการปลูกผมปริมาณมาก จำเป็นต้องโกนผมบริเวณท้ายทอยเพื่อให้สกัดรากผมได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม หากต้องการปลูกผมโดยไม่ต้องโกน อาจเลือกใช้เทคนิค Long Hair FUE

ทำความรู้จักการปลูกผมแบบ DHI

DHI (Direct Hair Implantation) เป็นเทคนิคปลูกผมที่พัฒนาต่อยอดมาจาก FUE โดยใช้เครื่องมือพิเศษที่เรียกว่า Implanter Pen เพื่อฝังรากผมลงไปโดยตรงในหนังศีรษะ ทำให้ไม่ต้องเปิดช่องว่างก่อนปลูก วิธีนี้ช่วยลดการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อและเพิ่มอัตราการอยู่รอดของรากผม ทำให้เส้นผมที่ปลูกดูแน่นและเป็นธรรมชาติยิ่งขึ้น

ข้อดีของการปลูกผมแบบDHI

  1. ไม่ต้องเปิดแผลก่อนปลูก – เทคนิคนี้ช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อและลดความเจ็บปวดหลังทำ ทำให้ระยะเวลาฟื้นตัวสั้นกว่าวิธีอื่น
  2. อัตราการอยู่รอดของรากผมสูงกว่า – การที่รากผมใช้เวลานอกร่างกายน้อย รากผมที่ปลูกจึงมีโอกาสรอดสูงขึ้น ส่งผลให้ผลลัพธ์ดูแน่นและเป็นธรรมชาติ
  3. กำหนดทิศทางและความหนาแน่นของเส้นผมได้อย่างแม่นยำ – ด้วยเครื่องมือพิเศษ แพทย์สามารถปลูกผมให้เข้ากับแนวผมเดิมได้ดีกว่า
  4. ไม่ต้องโกนผมทั้งศีรษะ – เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปลูกเฉพาะจุดโดยไม่ต้องเสียสละผมที่เหลือทั้งหมด
  5. แผลเล็ก ฟื้นตัวเร็ว – ใช้เครื่องมือพิเศษที่มีความแม่นยำสูง แผลที่เกิดจากการปลูกจะมีขนาดเล็กมาก ลดอาการบวมและเจ็บหลังทำ

ข้อควรระวังของการปลูกผมแบบ DHI

  1. ใช้เวลานานกว่าการปลูกผมแบบ FUE – เนื่องจากต้องปลูกทีละกอผมโดยตรง ทำให้ขั้นตอนค่อนข้างละเอียดและใช้เวลามากขึ้น
  2. ค่าใช้จ่ายสูงกว่า FUE – ต้องใช้เครื่องมือพิเศษและความแม่นยำสูง การปลูกผมด้วยเทคนิคนี้จึงมีราคาสูงกว่าวิธีอื่น
  3. ต้องใช้แพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง – เป็นเทคนิคที่ต้องการความละเอียดสูง ผู้ทำต้องมีประสบการณ์และทักษะขั้นสูง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
  4. อาจมีอาการบวมหลังทำ – แม้ว่าจะเป็นวิธีที่ลดความบาดเจ็บของหนังศีรษะได้ดี แต่ผู้เข้ารับการปลูกอาจมีอาการบวมที่หน้าผากหรือรอบศีรษะเล็กน้อย ซึ่งจะหายไปภายในไม่กี่วัน

การปลูกผมแบบ FUE กับ DHI ต่างกันยังไง?

FUE เน้นการเจาะและดึงรากผมทีละกอ เหมาะกับการปลูกผมในบริเวณกว้าง DHI เน้นการปลูกผมโดยตรงด้วย DHI pen โดยไม่ต้องเจาะหลุมล่วงหน้า ทำให้ผลลัพธ์ดูแน่นและเป็นธรรมชาติ เหมาะกับการปลูกผมในบริเวณที่ต้องการความหนาแน่นสูง

ขั้นตอนการปลูกผม DHI เทียบกับ FUE

แม้ว่าทั้ง FUE และ DHI จะมีหลักการพื้นฐานเดียวกัน คือการย้ายรากผมจากบริเวณที่มีเส้นผมหนาไปยังบริเวณที่ต้องการ แต่กระบวนการปลูกผมของทั้งสองเทคนิคมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน

การปลูกผมแบบ FUE

  • ก่อนเริ่มทำต้องโกนผมบริเวณที่ใช้เก็บรากผม เพื่อให้แพทย์สามารถใช้เครื่องมือพิเศษเจาะและดึงรากผมออกมาได้ง่ายขึ้น ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญเพราะช่วยให้แพทย์สามารถเก็บรากผมได้อย่างแม่นยำ ลดการสูญเสียรากผมที่มีคุณภาพ
  • จากนั้นแพทย์จะใช้เครื่องมือพิเศษในการสร้างช่องสำหรับปลูกผม โดยเจาะรูบนหนังศีรษะเพื่อฝังรากผมทีละกอลงไป ขั้นตอนนี้ต้องอาศัยความชำนาญเพื่อให้แน่ใจว่าทิศทางของเส้นผมจะออกมาดูเป็นธรรมชาติ

การปลูกผมแบบ DHI

  • ใช้ Choi Implanter Pen ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้แพทย์สามารถฝังรากผมได้โดยตรง โดยไม่ต้องเจาะช่องก่อน ซึ่งช่วยลดระยะเวลาที่รากผมอยู่นอกร่างกาย ลดความเสี่ยงที่รากผมจะเสียหาย และเพิ่มโอกาสรอดของเส้นผม
  • ข้อดีของ DHI คือช่วยให้แพทย์ควบคุมทิศทางของเส้นผมได้แม่นยำกว่า จึงทำให้แนวผมที่ปลูกออกมาดูเป็นธรรมชาติ และยังลดความเสียหายของเนื้อเยื่อรอบข้าง ซึ่งทำให้แผลหายเร็วขึ้น

ผู้ที่เหมาะสมสำหรับการปลูกผม: DHI เทียบกับ FUE

หลายคนอาจสงสัยว่าระหว่าง FUE และ DHI แบบไหนเหมาะกับตัวเองมากที่สุด หมอว่าควรพิจารณาจากความต้องการและลักษณะเส้นผมของแต่ละบุคคล

FUE เหมาะกับใคร?

  • ผู้ที่ต้องการปลูกผมในพื้นที่กว้าง เช่น ศีรษะล้านระดับกลางถึงมาก เพราะสามารถปลูกได้ในปริมาณมาก
  • ผู้ที่ต้องการปลูกผมจำนวนมากในราคาที่คุ้มค่า เนื่องจากค่าใช้จ่ายต่อกอผมมักต่ำกว่าการปลูกผมแบบ DHI
  • ผู้ที่ไม่กังวลเรื่องการโกนผมบริเวณท้ายทอยก่อนปลูก ซึ่งเป็นขั้นตอนที่จำเป็นสำหรับการเก็บรากผมแบบ FUE
  •  

DHI เหมาะกับใคร?

  • ผู้ที่ต้องการให้ผมขึ้นแน่นเป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะแนวไรผมหรือขมับ ซึ่งต้องการการควบคุมทิศทางของเส้นผมอย่างละเอียด
  • ผู้ที่ไม่ต้องการโกนผมทั้งศีรษะ เนื่องจาก DHI สามารถปลูกได้โดยไม่ต้องโกนผมทั้งหมด
  • ผู้ที่ต้องการฟื้นตัวเร็วกว่า เนื่องจากเทคนิคนี้ลดการบาดเจ็บของหนังศีรษะ ทำให้แผลหายเร็วขึ้น
    •  

ผลลัพธ์ของการปลูกผม DHI เทียบกับ FUE

โดยทั่วไปแล้วผลลัพธ์ของทั้งสองเทคนิคมีความใกล้เคียงกัน ซึ่งเส้นผมใหม่จะเริ่มงอกขึ้นในช่วง 3-4 เดือนแรก และจะเห็นผลลัพธ์เต็มที่ในช่วง 8-12 เดือน

  • FUE จะให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติและเหมาะกับการปลูกผมในปริมาณมาก โดยเฉพาะในกรณีที่ต้องการปกปิดบริเวณที่กว้าง
  • DHI จะช่วยให้เส้นผมขึ้นแน่นขึ้น เพราะแพทย์สามารถควบคุมทิศทางของเส้นผมได้ดีกว่า โดยเฉพาะบริเวณแนวไรผมหรือขมับ

DHI กับ FUE วิธีไหนดีกว่า?

ทั้งสองวิธีมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน หากคุณต้องการปลูกผมในบริเวณกว้าง FUE อาจจะเหมาะสมกว่า แต่หากคุณต้องการผลลัพธ์ที่มีความหนาแน่นและธรรมชาติ DHI อาจเป็นตัวเลือกที่ดี

  • หากคุณต้องการปลูกผมจำนวนมากในบริเวณที่กว้าง และต้องการตัวเลือกที่คุ้มค่ากว่า หมอแนะนำให้เลือก FUE เพราะสามารถปลูกผมได้มากกว่าในราคาที่ประหยัดกว่า
  • หากคุณต้องการให้เส้นผมขึ้นแน่น ดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด และต้องการฟื้นตัวเร็ว หมอว่าการเลือก DHI อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

ราคา DHI เทียบกับ FUE

ราคาของทั้งสองเทคนิคขึ้นอยู่กับจำนวนกอผมที่ต้องปลูกและความเชี่ยวชาญของแพทย์ โดยทั่วไป DHI จะมีราคาสูงกว่า FUE เนื่องจากต้องใช้เครื่องมือพิเศษและเทคนิคที่ละเอียดกว่า

  • FUE มักมีราคาต่อกอผมที่ถูกกว่า เพราะเป็นเทคนิคที่ใช้เวลานานกว่าและต้องมีหลายขั้นตอน แต่สามารถปลูกได้ในปริมาณมากขึ้นในงบประมาณที่คุ้มค่ากว่า
  • DHI มีต้นทุนที่สูงขึ้นจากการใช้ Choi Implanter Pen และต้องใช้แพทย์ที่มีทักษะสูงกว่าเพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาสมบูรณ์แบบ ราคาต่อกอผมจึงแพงกว่าการปลูกแบบ FUE

โดยปกติ ราคาของ DHI อาจสูงกว่าประมาณ 10-30% เมื่อเทียบกับ FUE ขึ้นอยู่กับคลินิกและปริมาณกอผมที่ต้องปลูก

การเตรียมตัวก่อนปลูกผม

การเตรียมตัวก่อนปลูกผมเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด หมอแนะนำให้คุณเริ่มต้นด้วยการปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อน เพื่อประเมินสภาพเส้นผมและหนังศีรษะของคุณ รวมถึงเลือกเทคนิคที่เหมาะสมที่สุด

ก่อนเข้ารับการปลูกผม ควรทำตามคำแนะนำดังนี้:

  • งดการใช้ยาบางชนิด เช่น แอสไพริน วิตามินอี และยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด ประมาณ 1-2 สัปดาห์ก่อนทำ เพื่อป้องกันอาการเลือดออกมากกว่าปกติ
  • งดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ อย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนทำ เพราะสารเหล่านี้อาจส่งผลต่อการไหลเวียนของเลือด ทำให้รากผมได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอและอาจส่งผลต่อการเจริญเติบโตของเส้นผม
  • ดูแลสุขภาพโดยรวม พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำให้มาก และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพราะร่างกายที่แข็งแรงจะช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น
  • สระผมให้สะอาด ก่อนเข้ารับการปลูกผม โดยไม่ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีรุนแรง เพื่อป้องกันการระคายเคืองหนังศีรษะ
  • เตรียมตัวสำหรับวันปลูกผม ควรสวมเสื้อที่มีกระดุมหน้า หรือเสื้อที่สามารถถอดออกได้ง่าย เพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสหนังศีรษะหลังทำเสร็จ

การดูแลหลังปลูกผม

หลังจากปลูกผมแล้ว การดูแลตัวเองเป็นสิ่งที่สำคัญมากเพื่อให้รากผมใหม่สามารถยึดติดกับหนังศีรษะและเจริญเติบโตได้ดี หมอมีคำแนะนำสำหรับช่วงพักฟื้นดังนี้:

  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณที่ปลูกผม ในช่วง 48 ชั่วโมงแรก ควรหลีกเลี่ยงการจับ ขยี้ หรือเกา เพราะอาจทำให้รากผมที่ยังไม่แข็งแรงหลุดออกมาได้
  • งดออกกำลังกายหนัก ๆ อย่างน้อย 2 สัปดาห์หลังปลูกผม เพราะเหงื่ออาจทำให้เกิดการติดเชื้อ และความดันที่เพิ่มขึ้นจากการออกกำลังกายอาจกระทบกับรากผมที่เพิ่งปลูก
  • นอนในท่าที่เหมาะสม ควรนอนหนุนหมอนสูง ๆ และหลีกเลี่ยงการนอนคว่ำหน้า เพื่อป้องกันอาการบวมและลดแรงกดทับที่หนังศีรษะ
  • สระผมตามคำแนะนำของแพทย์ โดยปกติสามารถเริ่มสระผมได้หลังจาก 2-3 วัน แต่ต้องใช้แชมพูสูตรอ่อนโยนและล้างออกด้วยน้ำที่ไม่แรงเกินไป
  • งดว่ายน้ำและซาวน่า อย่างน้อย 1 เดือนหลังปลูกผม เพราะคลอรีนในสระว่ายน้ำและความร้อนจากซาวน่าอาจทำให้หนังศีรษะระคายเคืองและส่งผลต่อการเจริญเติบโตของเส้นผม
  • หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด ควรใส่หมวกที่ไม่รัดแน่นเกินไปเมื่อต้องออกไปข้างนอก เพื่อป้องกันรังสี UV ที่อาจทำให้หนังศีรษะแห้งและส่งผลต่อรากผมที่กำลังฟื้นตัว

ติดตามผลกับแพทย์ ควรเข้าพบแพทย์ตามนัดเพื่อดูแลและติดตามผลลัพธ์ของการปลูกผม หากมีอาการผิดปกติ เช่น อักเสบ บวมแดง หรือมีหนอง ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที

คำแนะนำในการเลือกเทคนิคที่เหมาะสมสำหรับคุณ

การเลือกเทคนิคปลูกผมที่เหมาะสมไม่ใช่แค่เรื่องของราคา แต่ต้องคำนึงถึงลักษณะของปัญหาผมร่วงของคุณด้วย หากคุณมีศีรษะล้านบริเวณกว้าง และต้องการปลูกผมจำนวนมาก FUE อาจเป็นตัวเลือกที่ดี เพราะสามารถเก็บกอผมได้เยอะและครอบคลุมพื้นที่ได้กว้างกว่า แต่ถ้าคุณให้ความสำคัญกับความแน่นของเส้นผม และต้องการให้แพทย์ควบคุมทิศทางของเส้นผมได้ละเอียดมากขึ้น DHI อาจเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์ได้มากกว่า

นอกจากนี้ หากคุณต้องการให้รากผมมีโอกาสรอดสูงสุด และลดความเสียหายของหนังศีรษะ DHI อาจเหมาะกับคุณเพราะเป็นเทคนิคที่ลดระยะเวลาที่รากผมอยู่นอกร่างกาย ซึ่งช่วยให้รากผมแข็งแรงขึ้นก่อนการปลูก ในขณะที่ FUE เหมาะกับผู้ที่ไม่ต้องการจ่ายราคาสูงมากและสามารถรับได้กับการโกนผมบริเวณท้ายทอยก่อนทำ สุดท้ายแล้ว หมอแนะนำให้เข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์เฉพาะทาง เพื่อให้ได้คำแนะนำที่ตรงกับสภาพเส้นผมของคุณมากที่สุดครับ

ทำไมต้องปลูกผมที่ 42G

การเลือกคลินิกปลูกผมเป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้เทคนิคที่ใช้ เพราะผลลัพธ์ที่ดีไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่เทคโนโลยี แต่ยังต้องอาศัยความเชี่ยวชาญของแพทย์และมาตรฐานของคลินิกด้วย 42G เป็นศูนย์การแพทย์เฉพาะทางด้านปลูกผมที่ให้บริการด้วยเทคนิคที่ทันสมัย และทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์สูงกว่า 9 ปี เราใส่ใจในทุกรายละเอียด ตั้งแต่การวางแผนการรักษาไปจนถึงการติดตามผลหลังการปลูกผม เพื่อให้ลูกค้าได้รับผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

จุดเด่นของการปลูกผมที่ 42G

  • เทคนิคที่ทันสมัยและปลอดภัย – เราใช้ทั้ง FUE และ DHI ซึ่งเป็นเทคนิคปลูกผมที่ได้รับการยอมรับระดับสากล สามารถปรับให้เหมาะกับความต้องการของแต่ละบุคคล
  • แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการปลูกผมโดยเฉพาะ – ทีมแพทย์ของเราได้รับการฝึกฝนในด้านการปลูกผมโดยตรง มีประสบการณ์สูง และสามารถออกแบบแนวผมให้เป็นธรรมชาติ 
  • ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ – ที่ 42G เราให้ความสำคัญกับการออกแบบแนวไรผมให้เข้ากับรูปหน้าและโครงสร้างเส้นผมของแต่ละคน เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาดูสมจริง
  • เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ได้มาตรฐาน – เราเลือกใช้เครื่องมือที่ทันสมัย เช่น Choi Implanter Pen สำหรับเทคนิค DHI และหัวเจาะขนาดเล็กสำหรับ FUE ซึ่งช่วยให้ลดรอยแผลและเพิ่มอัตราการรอดของรากผม
  • การดูแลหลังปลูกผมที่ครบวงจร – เราไม่ได้แค่ปลูกผมแล้วจบ แต่ยังมีการติดตามผล และให้คำแนะนำเรื่องการดูแลหลังปลูกผม เพื่อให้ลูกค้าได้รับผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
  • บรรยากาศที่สะอาด ปลอดภัย และเป็นส่วนตัว – เรามีห้องปลูกผมที่ออกแบบมาเพื่อให้ผู้เข้ารับบริการรู้สึกผ่อนคลาย และปลอดเชื้อ เพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะได้รับบริการที่ปลอดภัยที่สุด

อ่านเพิมเติมเกี่ยวกับการติมไขมันผสมกับเทคนิค Reju Fat: การเติมไขมันหน้าเทคนิค Reju Fat

Facebook
Pinterest
Email

บทความล่าสุด

ปรึกษาแพทย์ฟรี

สอบถามเพิ่มเติมกับทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและมากประสบการณ์ เกี่ยวกับบริการศัลยกรรมความงามหลากหลายรูปแบบ ที่เน้นคุณภาพและการดูแลอย่างใส่ใจในทุกขั้นตอน