เช็กด่วน! อาการแพ้ฟิลเลอร์เป็นอย่างไร และควรแก้ไขอย่างไร

แพ้ฟิลเลอร์

Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipiscing elit. Ut elit tellus, luctus nec ullamcorper mattis, pulvinar dapibus leo.

ฟิลเลอร์เป็นหัตถการด้านความงามที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน แต่อย่างไรก็ตาม บางคนอาจประสบกับอาการแพ้ฟิลเลอร์ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ของตนเอง การรู้จักสาเหตุ อาการ และวิธีการจัดการกับการแพ้ฟิลเลอร์จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนควรทำความเข้าใจ เพื่อความปลอดภัยและการดูแลตนเองอย่างถูกต้อง

อาการแพ้ฟิลเลอร์ คืออะไร?

อาการแพ้ฟิลเลอร์เป็นปฏิกิริยาตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันต่อสารที่ใช้ในการฉีดฟิลเลอร์ โดยทั่วไปฟิลเลอร์จะทำจากสารไฮยาลูโรนิกแอซิด ที่ใกล้เคียงกับสารธรรมชาติในร่างกายคนเรา แต่ในบางกรณีร่างกายอาจตอบสนองผิดปกติต่อสารเหล่านี้ ซึ่งอาจแสดงออกมาในรูปแบบต่างๆ ตั้งแต่เล็กน้อยไปจนถึงรุนแรง

ใครบ้างที่ไม่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์

ถึงแม้ฟิลเลอร์จะถือว่าเป็นหัตถการที่ปลอดภัยเมื่อทำโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ แต่ก็ยังมีบางกลุ่มที่ควรหลีกเลี่ยงการฉีดฟิลเลอร์ หรืออย่างน้อยควรปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนตัดสินใจฉีด เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการแพ้หรือผลข้างเคียงรุนแรงในภายหลัง ประกอบด้วย:

  • ผู้ที่มีประวัติแพ้สารประกอบของฟิลเลอร์ เช่น ไฮยาลูโรนิก แอซิด หรือสารเติมแต่งอื่นๆ
  • หญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร
  • ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคภูมิแพ้ โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือโรคผิวหนังเรื้อรัง
  • ผู้ที่กำลังได้รับการรักษาด้วยยาต้านการแข็งตัวของเลือด
  • ผู้ที่มีบาดแผลหรือการติดเชื้อบริเวณที่จะฉีด
  • ผู้ที่เคยมีประวัติการผ่าตัดเสริมความงามบริเวณใบหน้าและมีปฏิกิริยาแทรกซ้อน

อาการแพ้ฟิลเลอร์ มีอาการอย่างไร

1. รอยแดง

รอยแดงเป็นอาการเบื้องต้นที่มักเกิดขึ้นหลังฉีดฟิลเลอร์ โดยมักปรากฏที่บริเวณที่ฉีด อาจมีลักษณะแดงเรื่อไปจนถึงแดงคล้ำร่วมกับความรู้สึกระคายเคืองหรือแสบร้อน อาการเหล่านี้อาจเกิดจากการตอบสนองของผิวต่อสารที่ฉีด หรือเกิดจากการอักเสบที่เริ่มขึ้น หากรอยแดงยังคงอยู่ต่อเนื่องหลายวันหรือมีอาการลุกลาม ควรพบแพทย์ทันที

2. รอยนูน

เป็นลักษณะของการนูนเป็นก้อนเล็กๆ ใต้ผิวในตำแหน่งที่ฉีด ซึ่งเกิดจากร่างกายตอบสนองต่อฟิลเลอร์อย่างผิดปกติ โดยบางรายอาจสัมผัสแล้วรู้สึกเป็นก้อนแข็ง หรือเจ็บปวดเมื่อนวดหรือกด ในบางคนอาจมีอาการคันร่วมด้วย หากไม่ดีขึ้นในระยะเวลาสั้นๆ หรือก้อนเริ่มโตขึ้น ควรให้แพทย์ตรวจวินิจฉัย

3. ฟิลเลอร์ไหล

ฟิลเลอร์ที่ถูกฉีดลึกเกินไปหรือมากเกินไปอาจไหลออกนอกบริเวณที่แพทย์ตั้งใจไว้ ส่งผลให้รูปทรงใบหน้าผิดเพี้ยน ดูไม่สมส่วน หรือไม่เป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะบริเวณใต้ตา หรือริมฝีปากที่ต้องการความละเอียดสูง ปัญหานี้สามารถแก้ไขได้โดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ในการประเมินโครงหน้าและฉีดยาสลายอย่างเหมาะสม

4. เป็นก้อน

บางกรณีฟิลเลอร์จะรวมตัวกันเป็นก้อนแข็งขนาดเล็กใต้ผิว ซึ่งอาจรู้สึกเคลื่อนไหวได้เมื่อนวดหรือสัมผัส บางครั้งอาการนี้มาพร้อมความเจ็บ หรือเป็นสัญญาณของการอักเสบหรือปฏิกิริยาต่อสิ่งแปลกปลอม หากปล่อยไว้อาจกลายเป็นพังผืดและรักษายากในระยะยาว

5. การติดเชื้อ

การติดเชื้อเป็นอาการที่พบได้เมื่อฟิลเลอร์ถูกฉีดด้วยอุปกรณ์ไม่สะอาด หรือคลินิกไม่มีมาตรฐาน อาการจะเริ่มจากบวม แดง ปวดร้อน และในบางกรณีมีหนองเกิดขึ้น หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี อาจลุกลามจนเกิดเป็นแผลลึกหรือรอยแผลเป็นถาวร

6. การอุดตันของหลอดเลือด

เป็นภาวะที่อันตรายมากและต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน เมื่อฟิลเลอร์ไปอุดหลอดเลือดโดยไม่ได้ตั้งใจ จะทำให้เลือดไม่สามารถไหลเวียนได้ ส่งผลให้เนื้อเยื่อบริเวณนั้นขาดเลือด อาจมีอาการเจ็บมาก ผิวหนังเปลี่ยนสีคล้ำ และเสี่ยงเกิดเนื้อตายถาวรหากปล่อยไว้นาน

7. ตาบอด

แม้จะพบได้น้อยมาก แต่เป็นภาวะร้ายแรงที่สุด ฟิลเลอร์ที่อุดตันหลอดเลือดที่เชื่อมโยงกับจอประสาทตา อาจทำให้ตาบอดถาวรภายในเวลาเพียงไม่กี่นาที อาการเริ่มแรกอาจมีอาการปวดตา ตาพร่ามัว หรือมองไม่ชัด หากมีสัญญาณเหล่านี้ ต้องรีบพบแพทย์ฉุกเฉินทันที

บทความน่ารู้ เติมไขมันหน้า vs ฉีดฟิลเลอร์ แบบไหนเห็นผลดีกว่า แบบไหนเหมาะกับเรา

วิธีรักษาอาการแพ้ฟิลเลอร์

หากเกิดอาการแพ้ฟิลเลอร์ ไม่ว่าจะเป็นอาการเล็กน้อยหรือรุนแรง สิ่งสำคัญอันดับแรกคือการสังเกตอาการและไม่ควรนิ่งนอนใจ เพราะอาการบางอย่างอาจลุกลามกลายเป็นการติดเชื้อ หรือเกิดผลข้างเคียงระยะยาวได้ การรักษาจึงต้องสอดคล้องกับระดับความรุนแรงของอาการ และควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเสมอ

กรณีอาการเล็กน้อย

หากอาการที่เกิดขึ้นยังอยู่ในระดับไม่รุนแรง เช่น มีรอยแดงเล็กน้อย หรือรู้สึกระคายเคืองหลังฉีดไม่เกิน 2-3 วัน สามารถดูแลเบื้องต้นได้ดังนี้

  • ใช้ยาต้านการอักเสบเฉพาะที่ เช่น ครีมสเตียรอยด์ เพื่อช่วยลดอาการบวมและแดงเฉพาะจุด โดยควรใช้ตามคำแนะนำของแพทย์เท่านั้น ไม่ควรซื้อมาใช้เองสุ่มสี่สุ่มห้า

     

  • ประคบเย็นบริเวณที่มีอาการ ช่วยลดการอักเสบและบวมได้ดีในระยะต้น ควรประคบสลับทุก 15–20 นาที และหลีกเลี่ยงการกดหรือนวดแรง

     

  • รับประทานยาแก้ปวดหรือยาแก้อักเสบกลุ่ม NSAIDs เช่น ibuprofen เพื่อบรรเทาความไม่สบายบริเวณที่ฉีด แต่ควรรับประทานตามขนาดที่แพทย์แนะนำ

     

กรณีอาการรุนแรง

หากมีอาการรุนแรง เช่น บวมมาก ร้อนแดง ผิวเริ่มเปลี่ยนสี หรือสงสัยว่ามีการติดเชื้อหรืออุดตันเส้นเลือด ควรหยุดสังเกตด้วยตนเองและรีบพบแพทย์ทันที

  • รีบเข้าพบแพทย์เฉพาะทางทันที เพื่อทำการวินิจฉัยว่าอาการเกิดจากการแพ้ การติดเชื้อ หรือภาวะอุดตันของเส้นเลือด

     

  • แพทย์อาจให้ยาต้านการอักเสบชนิดรับประทานหรือฉีด เช่น corticosteroids เพื่อควบคุมการอักเสบที่รุนแรงไม่ให้ลุกลาม

     

  • ใช้เอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดส ในการละลายฟิลเลอร์ทันที ในกรณีที่ฟิลเลอร์เป็นชนิด ไฮยาลโรนิกแอซิด และมีความจำเป็นเร่งด่วน เช่น อุดตันเส้นเลือดหรือเกิดก้อนแข็งใหญ่ใต้ผิว

     

กรณีมีรอยนูนหรือก้อนใต้ผิวหนัง

หากฟิลเลอร์รวมตัวกันเป็นก้อน หรือเกิดการตอบสนองของร่างกายจนทำให้เกิดตุ่มนูนแข็งใต้ผิว

  • แพทย์จะประเมินและฉีดไฮยาลูโรนิเดส เพื่อละลายฟิลเลอร์ อย่างตรงจุด โดยการใช้ปริมาณที่พอเหมาะเพื่อไม่กระทบกับเนื้อเยื่อข้างเคียง

     

  • ในบางกรณีที่ไม่สามารถละลายได้หรือเป็นฟิลเลอร์ชนิดถาวร แพทย์อาจแนะนำให้ผ่าตัดขูดหรือนำฟิลเลอร์ออกแบบเฉพาะจุด

     

กรณีมีการติดเชื้อ

หากมีอาการบวมแดงร้อน ปวดมาก หรือมีหนอง แสดงว่ามีการติดเชื้อในชั้นผิว

  • รักษาด้วยยาปฏิชีวนะ ทั้งในรูปแบบรับประทานหรือทาเฉพาะจุด ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรง

     

  • ทำความสะอาดบริเวณที่ติดเชื้ออย่างเคร่งครัด โดยใช้ผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อที่อ่อนโยนต่อผิวและไม่ทำให้ระคายเคืองเพิ่ม

     

  • หากมีหนองหรือการอักเสบลึก แพทย์อาจต้องทำการระบายหนอง และอาจมีขั้นตอนดูแลต่อเนื่อง เช่น การเปลี่ยนผ้าปิดแผล หรือการใช้เลเซอร์กระตุ้นฟื้นฟู

หลังฉีดฟิลเลอร์ห้ามกินอะไรเพื่อให้ฟิลเลอร์เข้าที่เร็วขึ้น

การดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์ไม่ใช่แค่เรื่องการหลีกเลี่ยงการกด นอนตะแคง หรือไม่แตะบริเวณที่ฉีดเท่านั้น แต่ อาหารที่รับประทาน ก็มีส่วนสำคัญต่อการฟื้นตัวของผิว และการเซ็ตตัวของฟิลเลอร์ให้เข้าที่ได้สวย ดูเป็นธรรมชาติ ซึ่งมีอาหารบางประเภทที่ควรหลีกเลี่ยงในช่วง 3–7 วันหลังฉีด ดังนี้ครับ:

สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง

อาหารหมักดอง เค็มจัด หรือมีโซเดียมสูง
เช่น ปลาร้า กะปิ ไข่เค็ม หรือของดองต่างๆ เพราะโซเดียมจะทำให้ร่างกายกักเก็บน้ำมากขึ้น ส่งผลให้ใบหน้าบวมได้นานขึ้น และอาจทำให้ฟิลเลอร์ดูไม่เข้ารูปได้ง่าย

แอลกอฮอล์ทุกชนิด
เพราะแอลกอฮอล์มีฤทธิ์ขยายหลอดเลือด อาจเพิ่มความเสี่ยงในการช้ำ บวม และทำให้ฟิลเลอร์เซ็ตตัวช้าลง นอกจากนี้ยังรบกวนการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในช่วงที่ร่างกายกำลังฟื้นตัว

อาหารทะเลหรือของที่เสี่ยงต่อการแพ้
โดยเฉพาะหากคุณมีประวัติแพ้อาหารบางประเภท เพราะหลังฉีดฟิลเลอร์ ร่างกายจะมีภาวะอักเสบเล็กน้อยอยู่แล้ว หากเกิดการแพ้เพิ่มขึ้นอาจทำให้ผิวบริเวณที่ฉีดมีอาการบวมแดง หรืออักเสบมากขึ้น

อาหารรสจัด เช่น เผ็ดจัด หรือเปรี้ยวจัด
เพราะอาหารเหล่านี้อาจกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตมากเกินไป ทำให้เกิดอาการร้อนวูบวาบ บวม หรือช้ำได้ง่าย โดยเฉพาะบริเวณริมฝีปากหรือแก้มที่มีการฉีดฟิลเลอร์

อาหารที่มีคาเฟอีนสูง เช่น กาแฟ ชาเขียว หรือชาเข้มๆ
ถึงแม้จะไม่ได้ห้ามโดยตรง แต่คาเฟอีนมีฤทธิ์ขับน้ำออกจากร่างกาย อาจทำให้ผิวแห้ง ไม่อุ้มน้ำ และลดประสิทธิภาพของฟิลเลอร์ที่ต้องการเพิ่มความชุ่มชื้น

แนะนำเพิ่มเติม:

ในช่วงหลังฉีดฟิลเลอร์ ควรเน้นทานอาหารอ่อน ย่อยง่าย ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ (อย่างน้อยวันละ 2 ลิตร) และหลีกเลี่ยงการใช้หลอดดูด หรือเคี้ยวของแข็งบริเวณใกล้จุดฉีด เพื่อให้ฟิลเลอร์คงรูปและเข้าที่เร็วขึ้นอย่างปลอดภัยครับ

วิธีการป้องกัน เพื่อไม่ให้แพ้ฟิลเลอร์

  • ตรวจสอบประวัติการแพ้ล่วงหน้า
    ควรแจ้งแพทย์ทุกครั้งหากเคยมีประวัติแพ้ยา แพ้สารเคมี หรือเคยแพ้สารเติมเต็มมาก่อน เช่น ไฮยาลูโรนิกแอซิด หรือยาชาเฉพาะที่ การเปิดเผยข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้แพทย์สามารถประเมินความเสี่ยงได้แม่นยำมากขึ้น
    หากไม่แน่ใจ แพทย์อาจแนะนำให้ทำการทดสอบการแพ้ โดยฉีดฟิลเลอร์ในปริมาณน้อยใต้ผิวหนังเพื่อดูปฏิกิริยาเบื้องต้นก่อนทำจริง

  • เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐานและแพทย์มีใบประกอบวิชาชีพ
    ควรเลือกคลินิกที่มีชื่อเสียงดี มีใบอนุญาตจากกระทรวงสาธารณสุข และดำเนินการโดยแพทย์ที่จบเฉพาะทางด้านผิวหนังหรือเวชศาสตร์ความงาม
    แพทย์ที่มีประสบการณ์จะรู้ตำแหน่งและชั้นผิวที่เหมาะสม รวมถึงสามารถรับมือกับภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ได้ทันท่วงที หากเกิดอาการแพ้หรือภาวะฉุกเฉิน

  • ตรวจสอบประสบการณ์และรีวิวของแพทย์ก่อนฉีด
    อย่าลังเลที่จะสอบถามว่าแพทย์ใช้ฟิลเลอร์ยี่ห้อใด ผ่าน อย. หรือไม่ และสามารถขอดูกล่องจริงก่อนฉีดได้เสมอ เพื่อมั่นใจว่าฟิลเลอร์ที่ใช้เป็นของแท้ และผ่านการรับรอง

  • เตรียมร่างกายให้พร้อมก่อนทำหัตถการ
    หยุดยากลุ่มต้านการแข็งตัวของเลือด (เช่น แอสไพริน, วิตามินอี, น้ำมันปลา) อย่างน้อย 3–5 วันก่อนฉีด เพื่อป้องกันการช้ำและเลือดออกใต้ผิวหนัง
    งดสูบบุหรี่และแอลกอฮอล์ล่วงหน้า 24–48 ชั่วโมง เพราะสารเหล่านี้รบกวนระบบไหลเวียนโลหิต และอาจทำให้ผิวอักเสบง่ายขึ้นหลังฉีด
    หากมีโรคประจำตัว เช่น โรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือโรคผิวหนังเรื้อรัง ควรแจ้งแพทย์ล่วงหน้าอย่างละเอียดเพื่อพิจารณาความเหมาะสมของหัตถการ

ฟิลเลอร์ฉีดแล้วอันตรายไหม

คำตอบคือไม่อันตราย ถ้าฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญครับ และการใช้ฟิลเลอร์แท้ที่ผ่านการรับรองจาก อย. และทำในคลินิกที่ได้มาตรฐาน แต่อย่างไรก็ตามการฉีดฟิลเลอร์ก็เหมือนกับหัตถการทางการแพทย์อื่นๆ ที่มีความเสี่ยงในระดับหนึ่ง ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ อาการข้างเคียงทั่วไปที่พบได้บ่อย และภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงครับ

ในกลุ่มของอาการข้างเคียงทั่วไป มักเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว เช่น บวม แดง คัน หรือมีรอยช้ำเล็กน้อยบริเวณที่ฉีดครับ ซึ่งมักจะหายได้เองภายใน 3–5 วัน และอาจมีอาการปวดเบาๆ ในจุดที่ฉีดเล็กน้อย ไม่ได้เป็นอันตรายร้ายแรงแต่อย่างใด และสามารถบรรเทาได้ด้วยการประคบเย็น หรือใช้ยาต้านการอักเสบตามคำแนะนำของแพทย์ได้เลย

ส่วนในกรณีความเสี่ยงรุนแรง ได้แก่ การอุดตันของหลอดเลือด หากฉีดผิดตำแหน่งอาจทำให้เลือดไม่สามารถไหลเวียนไปยังเนื้อเยื่อได้ และอาจทำให้เกิดภาวะเนื้อตาย หรือในบางกรณีร้ายแรงถึงขั้นตาบอดได้ หากไม่รักษาอย่างทันท่วงทีครับ

บทความน่ารู้ ฉีดไขมันหน้า อันตรายไหม เจาะลึก ข้อดี ข้อเสียของการฉีดไขมันหน้า

วิธีการตรวจเช็คฟิลเลอร์ของแท้ หรือปลอม

สังเกตจากแหล่งจำหน่ายและบรรจุภัณฑ์

  • ของแท้ควรมีใบรับรองจากหน่วยงานราชการ เช่น อย. ไทย หรือ FDA สหรัฐอเมริกา
    ผลิตภัณฑ์ที่ถูกต้องตามกฎหมายจะต้องมีเลขทะเบียน อย. ชัดเจน พร้อมระบุชื่อผู้ผลิต ตัวแทนนำเข้า และสามารถตรวจสอบได้บนเว็บไซต์ของหน่วยงานราชการ

  • มีโลโก้บริษัทและซีลปิดผนึกครบถ้วนจากโรงงานผู้ผลิต
    บรรจุภัณฑ์ควรดูเรียบร้อย ไม่มีรอยฉีกขาด สีจาง หรือสติ๊กเกอร์เบลอ ซีลต้องไม่ถูกเปิดมาก่อน และฟิลเลอร์ควรอยู่ในกล่องที่สมบูรณ์

  • ราคาสมเหตุสมผล ไม่ต่ำกว่าท้องตลาดมากจนเกินไป
    ฟิลเลอร์แท้มักมีต้นทุนที่แน่นอน หากพบว่าคลินิกเสนอราคาต่ำผิดปกติหรือจัดโปรโมชั่นเกินจริง อาจเป็นสัญญาณว่าฟิลเลอร์ที่ใช้ไม่ผ่านมาตรฐาน หรืออาจเป็นของปลอม

  • ของปลอมมักมีบรรจุภัณฑ์ผิดสังเกต เช่น สีซีด โลโก้ผิด รูปแบบกล่องไม่ตรงตามต้นฉบับ
    ในหลายกรณี บรรจุภัณฑ์จะไม่มีหมายเลขล็อต ไม่มีวันหมดอายุ หรือฉลากภาษาไทยที่ถูกต้องตามกฎหมาย

 วิธีตรวจสอบเพิ่มเติมก่อนฉีด

  • ขอดูเอกสารการนำเข้าและใบ อย. ก่อนฉีดทุกครั้ง
    คลินิกที่ได้มาตรฐานจะสามารถแสดงเอกสารเหล่านี้ได้ทันทีโดยไม่ปิดบัง เพื่อความโปร่งใสและความมั่นใจของผู้เข้ารับบริการ

  • ตรวจสอบ “หมายเลขล็อต” และ “วันหมดอายุ” บนกล่องและตัวยาฟิลเลอร์
    ควรเป็นหมายเลขเดียวกันทั้งบนกล่องและหลอดฟิลเลอร์ และควรอยู่ในช่วงวันหมดอายุที่เหมาะสม

  • สอบถามประวัติการใช้งานของฟิลเลอร์ชนิดนั้นๆ กับแพทย์
    แพทย์ที่มีประสบการณ์จะสามารถให้ข้อมูลว่าแบรนด์ไหนเหมาะกับจุดใด ผลลัพธ์อยู่ได้นานแค่ไหน และมีการใช้อย่างแพร่หลายในคลินิกที่น่าเชื่อถือหรือไม่

  • ขอให้แพทย์ “แกะกล่องใหม่” ให้ดูต่อหน้า
    เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการยืนยันว่าใช้ฟิลเลอร์แท้ ไม่ผ่านการใช้ซ้ำ และไม่ได้ถูกเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์

ทำไมต้องฉีดฟิลเลอร์กับ 42G?

การฉีดฟิลเลอร์ให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยและปลอดภัย ไม่ใช่แค่เรื่องของตัวยาที่ใช้เท่านั้น แต่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญของแพทย์ และมาตรฐานของคลินิกร่วมด้วย ที่ 42G เราให้ความสำคัญกับทุกขั้นตอน ตั้งแต่การประเมินรูปหน้า การเลือกชนิดฟิลเลอร์ ไปจนถึงการดูแลหลังทำ และฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพื่อให้มั่นใจว่าผลลัพธ์ออกมาดูเป็นธรรมชาติ และปลอดภัยในระยะยาว

ฟิลเลอร์ทุกชิ้นที่ใช้เป็นของแท้ ผ่านการรับรองจาก อย. ไทย และมีการแกะกล่องใหม่ให้คนไข้ดูทุกเคส เราเลือกใช้ฟิลเลอร์ระดับพรีเมียมจากแบรนด์ชั้นนำระดับโลก เนื้อฟิลเลอร์ละเอียดกลืนไปกับผิว ไม่เป็นก้อน ไม่บวมผิดรูป แถมยังออกแบบการฉีดให้เหมาะกับใบหน้าแต่ละคน โดยแพทย์ที่มีประสบการณ์และความชำนาญสูง จึงมั่นใจได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นการเติมใต้ตา ร่องแก้ม หรือปาก ก็จะได้ผลลัพธ์ที่สวยละมุน ดูละเอียดยิบทุกองศา

นอกจากนี้ ที่ 42G ยังมีการติดตามผลหลังการฉีดอย่างใกล้ชิด พร้อมให้คำแนะนำเรื่องการดูแลตัวเองอย่างถูกวิธี เพื่อให้ฟิลเลอร์เซ็ตตัวเข้าที่ได้อย่างสวยงามและอยู่ได้นานที่สุด ใครที่กำลังมองหาคลินิกฉีดฟิลเลอร์ที่ให้ทั้งความปลอดภัย ความชำนาญ และความใส่ใจในรายละเอียด 42G คือคำตอบที่คุณวางใจได้

สรุป: เช็กด่วน! อาการแพ้ฟิลเลอร์เป็นอย่างไร และควรแก้ไขอย่างไร

อาการแพ้ฟิลเลอร์สามารถเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ระดับเล็กน้อย เช่น บวม แดง คัน รู้สึกไม่สบายผิว ไปจนถึงอาการที่รุนแรงกว่าอย่างการเกิดก้อนนูนใต้ผิวหนัง ฟิลเลอร์ไหล ติดเชื้อ หรือแม้กระทั่งการอุดตันของหลอดเลือดที่อาจทำให้เนื้อตายหรือเสี่ยงตาบอด หากสังเกตว่ามีอาการผิดปกติหลังฉีด เช่น อาการไม่ดีขึ้นใน 2-3 วัน หรือมีอาการลุกลาม ควรรีบพบแพทย์ทันทีเพื่อวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกวิธี

สนใจปลูกผมถาวร: 42G Clinic ปลูกผม

Facebook
Pinterest
Email

บทความล่าสุด

ปรึกษาแพทย์ฟรี

สอบถามเพิ่มเติมกับทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและมากประสบการณ์ เกี่ยวกับบริการศัลยกรรมความงามหลากหลายรูปแบบ ที่เน้นคุณภาพและการดูแลอย่างใส่ใจในทุกขั้นตอน