10 ข้อควรรู้ก่อนปลูกผมถาวร อยากปลูกผมต้องอ่าน

10 ข้อควรรู้ก่อนปลูกผมถาวร อยากปลูกผมต้องอ่าน

Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipiscing elit. Ut elit tellus, luctus nec ullamcorper mattis, pulvinar dapibus leo.

ถ้าคุณกำลังคิดจะปลูกผม แต่ยังมีคำถามในใจว่า “ปลูกผมต้องเตรียมตัวยังไง?” “ผลลัพธ์จะออกมาดีไหม?” หรือ “มีอะไรที่ต้องรู้ก่อนตัดสินใจ?” หมอว่าก่อนจะตัดสินใจปลูกผม ควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนและปัจจัยที่มีผลต่อผลลัพธ์ให้ดีก่อน เพราะการปลูกผมไม่ใช่แค่เรื่องของการเติมเส้นผมให้หนาขึ้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับสุขภาพของรากผมเดิม การดูแลหลังทำ และการเลือกคลินิกที่เหมาะสม

วันนี้หมอจะพามาดู 10 ข้อสำคัญที่ต้องรู้ก่อนปลูกผมเพื่อให้คุณเตรียมตัวได้อย่างมั่นใจ และแน่ใจว่าการปลูกผมครั้งนี้จะให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดครับ

สนใจปลูกผม: 42G Clinic ปลูกผม

1. ปลูกผมถาวรคืออะไร? มีกี่แบบ?

ปลูกผมถาวรคืออะไร?
การปลูกผมถาวรคือวิธีการแก้ไขปัญหาผมร่วงและศีรษะล้านที่ช่วยให้เส้นผมกลับมาขึ้นใหม่อย่างเป็นธรรมชาติและถาวร โดยแพทย์จะทำการย้ายรากผมจากบริเวณที่แข็งแรงเช่นท้ายทอยหรือด้านข้างศีรษะ ไปปลูกยังบริเวณที่มีผมบางหรือศีรษะล้าน เทคนิคนี้ช่วยให้เส้นผมที่ปลูกใหม่แข็งแรง ไม่หลุดร่วงง่าย เนื่องจากรากผมที่ถูกย้ายมานั้นมีคุณสมบัติต่อต้านฮอร์โมน DHT ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของผมร่วงในผู้ชาย

เทคนิค FUE เป็นวิธีที่แพทย์จะใช้เครื่องมือพิเศษสกัดรากผมจากบริเวณที่แข็งแรงเช่นท้ายทอย แล้วนำไปปลูกใหม่ในบริเวณที่ต้องการ เทคนิคนี้ไม่มีการตัดหนังศีรษะ จึงทำให้แผลมีขนาดเล็ก ฟื้นตัวเร็ว และไม่มีรอยแผลเป็นแนวยาว

เทคนิค DHI เป็นการพัฒนาเพิ่มเติมจาก FUE โดยใช้เครื่องมือเฉพาะที่เรียกว่า Choi Implanter Pen ในการฝังรากผมลงไปบนหนังศีรษะโดยตรง ทำให้สามารถควบคุมทิศทาง ความลึก และความหนาแน่นของเส้นผมได้แม่นยำขึ้น ผมที่ปลูกใหม่ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น และมีอัตราการรอดของรากผมสูงขึ้น

เทคนิค Long Hair FUE เป็นเทคนิคที่คล้ายกับ FUE แต่แตกต่างกันตรงที่แพทย์จะสกัดและปลูกผมโดยไม่ต้องโกนผมบริเวณที่สกัด ทำให้สามารถเห็นผลลัพธ์ของแนวผมที่ปลูกได้ทันทีหลังทำ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรักษาความยาวของเส้นผมเดิม และไม่ต้องการให้ใครสังเกตเห็นว่ามีการปลูกผม

เทคนิค Micro FUE เป็นการปลูกผมที่ใช้หัวเจาะขนาดเล็กกว่า FUE ทั่วไป ทำให้แผลมีขนาดเล็กมากขึ้น ลดรอยแผลเป็น และช่วยให้สามารถปลูกผมในบริเวณที่ต้องการความละเอียดสูงเช่นแนวไรผมหรือบริเวณที่ต้องการเพิ่มความหนาแน่นของเส้นผมอย่างเป็นธรรมชาติ

2. ปลูกผมถาวรที่ไหนดี? เคล็ดลับเลือกคลินิกที่ปลอดภัย

การเลือกคลินิกปลูกผมเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะผลลัพธ์ของการปลูกผมขึ้นอยู่กับความเชี่ยวชาญของแพทย์และมาตรฐานของสถานพยาบาล ถ้าคุณเลือกคลินิกที่มีประสบการณ์และใช้เทคนิคที่ได้มาตรฐาน ก็จะช่วยให้ผลลัพธ์ออกมาดูเป็นธรรมชาติและปลอดภัย วันนี้หมอมีเคล็ดลับในการเลือกคลินิกปลูกผมที่น่าเชื่อถือมาฝากครับ

  1. แพทย์ต้องมีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์สูง
    การปลูกผมเป็นหัตถการที่ต้องใช้ทักษะและความละเอียดสูงมาก ควรเลือกคลินิกที่มีแพทย์เฉพาะทางด้านการปลูกผมและมีประสบการณ์ในการทำหัตถการมาหลายปี ยิ่งแพทย์มีประสบการณ์มากเท่าไหร่ ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะยิ่งดูเป็นธรรมชาติ และลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนหลังปลูกผม
  2. ใช้เทคนิคและอุปกรณ์ที่ทันสมัย
    เทคโนโลยีในการปลูกผมพัฒนาไปมาก ควรเลือกคลินิกที่ใช้เทคนิคปลูกผมที่ทันสมัย เช่น FUE, DHI, Long Hair FUE หรือ Micro FUE รวมถึงใช้อุปกรณ์ที่ช่วยให้แพทย์สามารถสกัดและปลูกกราฟต์ผมได้อย่างแม่นยำ ซึ่งช่วยลดโอกาสการเสียหายของรากผม และเพิ่มอัตราการรอดของเส้นผมที่ปลูก
  3. รีวิวจากผู้เข้ารับบริการจริง
    การดูรีวิวจากผู้ที่เคยปลูกผมมาก่อนจะช่วยให้คุณเห็นผลลัพธ์จริงของคลินิกนั้น ๆ ควรเลือกคลินิกที่มี ภาพเปรียบเทียบก่อนและหลังปลูกผม (Before & After) พร้อมรีวิวจากลูกค้าจริง และหากมีวิดีโอหรือเคสศึกษาที่สามารถตรวจสอบได้ ก็จะช่วยเพิ่มความมั่นใจมากขึ้น
  4. มีมาตรฐานความปลอดภัย และใบอนุญาตถูกต้อง
    คลินิกที่น่าเชื่อถือต้องได้รับใบอนุญาตจากกระทรวงสาธารณสุขและมีมาตรฐานความสะอาดสูง เพราะการปลูกผมเป็นหัตถการที่ต้องทำในสภาพแวดล้อมที่ปลอดเชื้อ ถ้าคลินิกไม่มีใบอนุญาตอาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้
  5. มีการให้คำปรึกษาและติดตามผลหลังปลูกผม
    คลินิกที่ดีต้องมีการให้คำปรึกษาอย่างละเอียดก่อนปลูกผม เพื่อให้คุณเข้าใจถึงกระบวนการ ขั้นตอน และผลลัพธ์ที่คาดหวัง รวมถึงมีการติดตามผลหลังทำ เพื่อให้แน่ใจว่าการปลูกผมเป็นไปตามแผนและสามารถให้คำแนะนำเพิ่มเติมได้หากมีปัญหาหลังปลูก
  6. ราคาโปร่งใส ไม่มีค่าใช้จ่ายแอบแฝง
    ค่าบริการปลูกผมควรมีความโปร่งใสและแจ้งรายละเอียดค่าใช้จ่ายให้ชัดเจน ควรระวังคลินิกที่เสนอราคาถูกเกินไป เพราะอาจมีการใช้เทคนิคที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือมีค่าใช้จ่ายแอบแฝงเพิ่มเติมหลังจากทำไปแล้ว
  7. เลือกคลินิกที่มีบริการเสริมดูแลเส้นผม
    บางคลินิกมีบริการเสริมที่ช่วยฟื้นฟูและดูแลเส้นผมหลังปลูก เช่น PRP Therapy, Growth Factors, หรือ Red Light Therapy ซึ่งช่วยให้เส้นผมที่ปลูกใหม่แข็งแรงขึ้น และลดโอกาสของการหลุดร่วง

3. ปลูกผมถาวรด้วย FUE vs FUT: ข้อควรรู้ก่อนปลูกผมถาวร

หากคุณกำลังคิดจะปลูกผมถาวร คำถามแรกๆ ที่มักเกิดขึ้นคือ “ควรเลือก FUE หรือ FUT ดี?” หมอเข้าใจว่าหลายคนอาจจะยังไม่แน่ใจว่าทั้งสองเทคนิคนี้ต่างกันอย่างไร และแบบไหนเหมาะกับตัวเองมากที่สุด วันนี้หมอจะมาอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ ครับ

FUE (Follicular Unit Extraction) คืออะไร?

FUE เป็นเทคนิคปลูกผมที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปัจจุบัน วิธีนี้แพทย์จะใช้เครื่องมือพิเศษสกัดรากผมจากบริเวณที่แข็งแรงเช่นท้ายทอย โดยใช้หัวเจาะขนาดเล็ก (ประมาณ 0.6 – 1.0 มม.) จากนั้นนำรากผมไปปลูกใหม่ยังบริเวณที่ต้องการ เทคนิคนี้ไม่มีการตัดหนังศีรษะเป็นแถบเหมือน FUT ทำให้เกิดแผลเป็นขนาดเล็ก ฟื้นตัวเร็ว และไม่ทิ้งรอยแผลเป็นแนวยาว

ทำไมต้องเลือก FUE?

✅ ไม่มีรอยแผลเป็นแนวยาว ฟื้นตัวเร็ว และลดความเสี่ยงของแผลเป็นขยายตัว
✅ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปลูกผมเฉพาะจุด หรือเติมแนวไรผม
✅ สามารถใช้เทคนิค Micro FUE หรือ Long Hair FUE ได้สำหรับผู้ที่ต้องการความละเอียดสูงหรือไม่ต้องการโกนผม
✅ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการไว้ผมสั้น เพราะไม่มีแผลเป็นขนาดใหญ่

ข้อควรพิจารณาเกี่ยวกับ FUE

⚠️ ใช้เวลานานกว่าการปลูกผมแบบ FUT เพราะต้องสกัดรากผมทีละกอ
⚠️ ค่าใช้จ่ายสูงกว่าการปลูกผมแบบ FUT เนื่องจากต้องใช้เทคนิคที่ละเอียดกว่า
⚠️ หากต้องการปลูกผมจำนวนมาก อาจต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงหรือหลายวันในการทำ

FUT (Follicular Unit Transplantation) คืออะไร?

FUT เป็นเทคนิคที่แพทย์จะตัดหนังศีรษะเป็นแถบจากบริเวณท้ายทอยเพื่อนำไปคัดแยกรากผม จากนั้นนำไปปลูกในบริเวณที่ต้องการ วิธีนี้ช่วยให้สามารถเก็บรากผมได้จำนวนมากในครั้งเดียว ทำให้เป็นทางเลือกสำหรับคนที่ต้องการปลูกผมในบริเวณกว้าง

ทำไมต้องเลือก FUT?

✅ สามารถปลูกผมได้จำนวนมากในครั้งเดียว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปลูกผมในบริเวณกว้าง
✅ อัตราการรอดของรากผมสูง เพราะสามารถควบคุมการสกัดรากผมได้แม่นยำ
✅ ใช้เวลาทำหัตถการสั้นกว่าการปลูกผมแบบ FUE

ข้อควรพิจารณาเกี่ยวกับ FUT

⚠️ มีแผลเป็นแนวยาวที่ท้ายทอย ซึ่งอาจเห็นได้หากตัดผมสั้นมาก
⚠️ ใช้เวลาฟื้นตัวนานกว่า FUE และอาจมีอาการตึงบริเวณแผลหลังทำ
⚠️ อาจมีโอกาสเกิดแผลเป็นขยายตัว (Stretch-back Scar) หากผิวหนังบริเวณท้ายทอยตึงมาก

4. การปลูกผมร่วมกับการรักษาแบบอื่น

การปลูกผมถาวรเป็นวิธีที่ช่วยคืนเส้นผมให้กลับมาแข็งแรงและดูเป็นธรรมชาติ แต่เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด หลายคนอาจต้องใช้การรักษาเสริมควบคู่กันไปการปลูกผมร่วมกับการรักษาแบบอื่นๆ สามารถช่วยลดการหลุดร่วงของเส้นผมได้

Minoxidil และ Finasteride: ลดผมร่วงและกระตุ้นรากผม

  • Minoxidil คืออะไร? → เป็นยาทาเฉพาะที่ที่ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตบริเวณหนังศีรษะ ทำให้รากผมได้รับสารอาหารมากขึ้น และช่วยให้เส้นผมที่อ่อนแอกลับมาแข็งแรง
  • ทำไมต้องใช้ Minoxidil? → ช่วยลดการหลุดร่วงของเส้นผมธรรมชาติ และกระตุ้นให้เส้นผมที่ปลูกใหม่งอกขึ้นมาเร็วขึ้น
  • ใช้ Minoxidil อย่างไร? → ควรใช้เป็นประจำวันละ 1-2 ครั้ง (ขึ้นอยู่กับคำแนะนำของแพทย์) และต้องใช้ต่อเนื่องเพื่อให้เห็นผลชัดเจน
  • Finasteride คืออะไร? → เป็นยารับประทานที่ช่วยลดระดับฮอร์โมน DHT ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของผมร่วงในผู้ชาย
  • ใครควรใช้ Finasteride? → เหมาะสำหรับผู้ชายที่มีภาวะผมร่วงจากกรรมพันธุ์และต้องการชะลอการร่วงของเส้นผมเดิม

ข้อดีของ Minoxidil และ Finasteride: ลดผมร่วง เสริมความแข็งแรงของรากผม และช่วยให้ผลลัพธ์จากการปลูกผมมีประสิทธิภาพมากขึ้น
⚠️ ข้อควรระวัง: การใช้ยาจะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น ต้องใช้ต่อเนื่องเพื่อให้ได้ผล หากหยุดยา ผมที่ได้รับการกระตุ้นอาจกลับมาร่วงได้

เลเซอร์ LLLT (Low-Level Laser Therapy): กระตุ้นรากผมด้วยแสงเลเซอร์

  • LLLT คืออะไร? → เป็นการใช้แสงเลเซอร์พลังงานต่ำเพื่อกระตุ้นรากผมและเพิ่มการไหลเวียนโลหิตในหนังศีรษะ
  • ทำไมต้องใช้ LLLT? → ช่วยให้รากผมแข็งแรงขึ้น ลดการอักเสบของหนังศีรษะ และเพิ่มออกซิเจนให้กับรากผมที่ปลูกใหม่
  • LLLT ทำอย่างไร? → ใช้อุปกรณ์ฉายแสงเลเซอร์บริเวณหนังศีรษะ สามารถทำได้ที่คลินิกหรือใช้หมวกเลเซอร์ที่บ้าน

ข้อดีของ LLLT: ปลอดภัย ไม่เจ็บ ไม่มีผลข้างเคียง และสามารถใช้ควบคู่กับการปลูกผมได้
⚠️ ข้อควรระวัง: ต้องทำอย่างสม่ำเสมอเป็นระยะเวลาหนึ่งเพื่อให้เห็นผลที่ชัดเจน

PRP (Platelet-Rich Plasma) และ Growth Factor: ฟื้นฟูรากผมด้วยเกล็ดเลือดเข้มข้น

  • PRP คืออะไร? → เป็นการใช้เกล็ดเลือดเข้มข้นจากเลือดของตัวเองมาฉีดเข้าไปในหนังศีรษะ เพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโตของเส้นผม
  • ทำไมต้องใช้ PRP? → ช่วยเร่งการฟื้นตัวของรากผมที่ปลูกใหม่ กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต และเพิ่มสารอาหารให้กับรากผม
  • PRP ทำอย่างไร? → แพทย์จะทำการเจาะเลือดของผู้เข้ารับการรักษา นำไปปั่นเพื่อสกัดเกล็ดเลือดเข้มข้น แล้วฉีดกลับเข้าสู่หนังศีรษะ

ข้อดีของ PRP: ฟื้นฟูรากผมโดยใช้สารจากร่างกายตัวเอง จึงไม่มีสารเคมีเจือปน และลดโอกาสการแพ้
⚠️ ข้อควรระวัง: อาจต้องทำหลายครั้งเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

Fotona Laser: เลเซอร์เพื่อฟื้นฟูรากผมระดับลึก

  • Fotona Laser คืออะไร? → เป็นการใช้เลเซอร์พลังงานสูงเพื่อกระตุ้นเซลล์รากผม ลดการอักเสบ และช่วยให้เส้นผมงอกใหม่เร็วขึ้น
  • ทำไมต้องใช้ Fotona Laser? → ช่วยฟื้นฟูรากผมที่อ่อนแอ กระตุ้นการเจริญเติบโตของเส้นผม และทำให้ผลลัพธ์ของการปลูกผมชัดเจนขึ้น
  • Fotona Laser ทำอย่างไร? → ใช้เครื่องเลเซอร์ฉายแสงลงไปบนหนังศีรษะเพื่อกระตุ้นรากผมและเพิ่มการไหลเวียนโลหิต

ข้อดีของ Fotona Laser: กระตุ้นรากผมได้ลึกกว่าการใช้ LLLT และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการปลูกผม

5. กราฟท์ปลูกผมคืออะไร?

หากคุณเคยศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการปลูกผม คงเคยได้ยินคำว่า “กราฟท์” มาก่อน แล้วกราฟท์คืออะไร?

กราฟท์ปลูกผมคืออะไร?
  • กราฟท์คือหน่วยของรากผมที่ถูกสกัดออกมาเพื่อปลูกใหม่ โดย 1 กราฟท์ จะประกอบไปด้วย รากผมและเส้นผมจำนวน 1-4 เส้น ซึ่งจำนวนเส้นผมในแต่ละกราฟท์ขึ้นอยู่กับลักษณะของเส้นผมและพันธุกรรมของแต่ละบุคคล
  • ตัวอย่างเช่นปลูก 2,000 กราฟท์ ไม่ได้หมายความว่าคุณจะได้ 2,000 เส้นผม เพราะแต่ละกราฟท์อาจมี 2-3 เส้นผมรวมอยู่ด้วย ทำให้จำนวนเส้นผมที่ได้จริงอาจอยู่ที่ 4,000-5,000 เส้น
ทำไมต้องใช้ “กราฟท์” ในการคำนวณปลูกผม?
  • การคำนวณจำนวนกราฟท์ช่วยให้แพทย์สามารถประเมินได้ว่า ต้องใช้รากผมจำนวนเท่าไรเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ
  • จำนวนกราฟท์ที่ต้องใช้ขึ้นอยู่กับระดับของปัญหาผมบางและพื้นที่ที่ต้องการปลูกเช่นหากมีผมบางเฉพาะจุด อาจใช้เพียง 1,500-2,000 กราฟท์ แต่ถ้าศีรษะล้านกว้าง อาจต้องใช้ถึง 3,000-5,000 กราฟท์
  • ค่าใช้จ่ายของการปลูกผมมักถูกคิดตามจำนวนกราฟท์ ยิ่งปลูกเยอะ ราคาก็จะสูงขึ้น

6. การเตรียมตัวก่อนปลูกผมถาวร

เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติและติดทนถาวร การเตรียมตัวก่อนปลูกผมจึงเป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก และถ้าคุณเตรียมตัวอย่างถูกต้องก็จะช่วยลดความเสี่ยง ฟื้นตัวเร็ว และทำให้ผมที่ปลูกใหม่แข็งแรงขึ้น วันนี้หมอจะพาคุณมาดู สิ่งที่ควรทำและหลีกเลี่ยงก่อนเข้ารับการปลูกผมถาวรครับ

7 วันก่อนปลูกผม: ปรับการใช้ยาและเตรียมร่างกาย
  • งดยาแอสไพริน และยาลดการแข็งตัวของเลือด เพราะอาจทำให้เลือดออกง่ายขึ้นระหว่างปลูกผม
  • งดวิตามินบางชนิด เช่นวิตามิน E, โอเมก้า 3 เพราะอาจทำให้เลือดออกง่ายขึ้น
  • พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วขึ้นหลังปลูกผม
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อให้หนังศีรษะชุ่มชื้นและพร้อมสำหรับหัตถการ
1 วันก่อนปลูกผม: เตรียมตัวขั้นสุดท้าย
  • สระผมให้สะอาดด้วยแชมพูสูตรอ่อนโยน เพื่อขจัดสิ่งสกปรกและน้ำมันส่วนเกินบนหนังศีรษะ
  • งดใช้ผลิตภัณฑ์แต่งผม เช่นเจล มูส หรือสเปรย์ฉีดผม
  • งดเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่นกาแฟ เพราะอาจทำให้ความดันโลหิตเพิ่มขึ้น
  • เลือกเสื้อผ้าที่ใส่สบายและเป็นแบบกระดุมหน้า เพราะหลังทำเสร็จจะต้องระวังไม่ให้ศีรษะสัมผัสเสื้อผ้า
เช้าวันปลูกผม
  • รับประทานอาหารเช้าก่อนเข้าคลินิก แต่ควรเป็นอาหารเบาๆ ที่ย่อยง่าย
  • สวมเสื้อเชิ้ตหรือเสื้อแบบกระดุม เพื่อป้องกันไม่ให้เสื้อสัมผัสกับศีรษะหลังปลูกผม
  • แจ้งแพทย์หากมีอาการป่วย หรือไม่สบายในวันปลูกผม

7. การดูแลตัวเองหลังปลูกผมถาวร

การดูแลตัวเองหลังปลูกผมถาวร
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือเกาหนังศีรษะ
  • งดกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมาก เช่น การออกกำลังกาย
  • ใช้แชมพูอ่อนโยนตามคำแนะนำของแพทย์

8. อาหารที่ช่วยเสริมการงอกของผมหลังปลูกผมถาวร

1. โปรตีน

  • เส้นผมประกอบด้วยเคราตินซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง หากร่างกายได้รับโปรตีนไม่เพียงพอ เส้นผมที่งอกใหม่อาจอ่อนแอและหลุดร่วงง่าย
  • แหล่งโปรตีนที่ดี: ไข่ไก่, เนื้อปลา, อกไก่, เนื้อแดงไม่ติดมัน, เต้าหู้, ถั่วต่างๆ และโยเกิร์ต
  • ควรบริโภคโปรตีนให้เพียงพอทุกวันเพื่อให้รากผมมีโครงสร้างที่แข็งแรงและเจริญเติบโตได้ดี

 2. วิตามินซี

  • วิตามินซีช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นโครงสร้างที่ช่วยยึดรากผมให้แข็งแรง และยังช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้ดีขึ้น
  • แหล่งวิตามินซีที่ดี: ส้ม, กีวี่, ฝรั่ง, มะละกอ, สตรอว์เบอร์รี่ และบรอกโคลี
  • การรับประทานวิตามินซีทุกวันจะช่วยให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงรากผมได้ดีขึ้น ทำให้ผมที่ปลูกใหม่ได้รับสารอาหารอย่างเต็มที่

 3. ธาตุเหล็ก

  • ธาตุเหล็กเป็นสารสำคัญที่ช่วยส่งออกซิเจนไปเลี้ยงรากผม หากขาดธาตุเหล็ก ผมที่ปลูกใหม่อาจเจริญเติบโตได้ช้า
  • แหล่งธาตุเหล็กที่ดี: เนื้อแดง, ตับ, ไข่, ผักโขม, ถั่วเลนทิล และธัญพืชเสริมธาตุเหล็ก
  • ควรรับประทานธาตุเหล็กร่วมกับวิตามินซี เพื่อช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้ดีขึ้น

4. ไบโอติน

  • ไบโอตินมีบทบาทสำคัญในการผลิตเคราติน ซึ่งเป็นโปรตีนหลักของเส้นผม และช่วยลดการหลุดร่วงของเส้นผม
  • แหล่งไบโอตินที่ดี: ไข่แดง, ถั่วอัลมอนด์, ถั่วลิสง, อะโวคาโด, กล้วย และเห็ด
  • หากต้องการให้ผมที่ปลูกใหม่แข็งแรงและเจริญเติบโตได้ดี ควรรับประทานอาหารที่มีไบโอตินเป็นประจำ

5. กรดไขมันโอเมก้า 3

  • โอเมก้า 3 ช่วยลดการอักเสบของหนังศีรษะ กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต และทำให้เส้นผมที่ปลูกใหม่เงางามและแข็งแรง
  • แหล่งโอเมก้า 3 ที่ดี: ปลาแซลมอน, ปลาทูน่า, ปลาซาร์ดีน, เมล็ดแฟลกซ์, เมล็ดเจีย และวอลนัท
  • การบริโภคโอเมก้า 3 เป็นประจำจะช่วยลดอาการแห้งและหลุดร่วงของเส้นผม

6. ซิงค์

  • ซิงค์ช่วยซ่อมแซมเซลล์รากผมและลดการหลุดร่วงของเส้นผม
  • แหล่งซิงค์ที่ดี: หอยนางรม, เนื้อวัว, เมล็ดฟักทอง, ถั่วลิสง และโยเกิร์ต
  • หากร่างกายขาดซิงค์ อาจทำให้เส้นผมที่ปลูกใหม่อ่อนแอและหลุดร่วงง่าย

7. วิตามินดี

  • วิตามินดีช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์รากผมและช่วยให้เส้นผมเติบโตได้ดีขึ้น
  • แหล่งวิตามินดีที่ดี: ปลาแซลมอน, ไข่แดง, นม, เห็ด และแสงแดดอ่อนๆ ตอนเช้า
  • หากขาดวิตามินดี อาจทำให้เส้นผมบางลงและเจริญเติบโตได้ช้าลง

9. ปลูกผมถาวรราคาเท่าไหร่?

หนึ่งในคำถามที่หลายคนสงสัยก่อนตัดสินใจปลูกผมถาวรคือ “ปลูกผมราคาเท่าไหร่?” และเรื่องราคานั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่ใช่แค่จำนวนกราฟท์ที่ปลูกเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเทคนิคที่ใช้ ประสบการณ์ของแพทย์ และมาตรฐานของคลินิกที่เลือก

ราคาปลูกผมถาวรโดยเฉลี่ย

  • ราคาปลูกผมเริ่มต้นที่ประมาณ 70,000 – 300,000 บาท ขึ้นอยู่กับเทคนิคที่ใช้และจำนวนกราฟท์ที่ปลูก
  • หากต้องการปลูกผมในบริเวณกว้าง เช่น ศีรษะล้านระดับ 3-5 อาจต้องใช้ 2,500 – 5,000 กราฟท์ ทำให้ราคาสูงขึ้นตามปริมาณที่ปลูก

📌 ปัจจัยที่มีผลต่อราคาปลูกผม

  1. เทคนิคที่ใช้
  • FUE  → ราคาเริ่มต้นที่ 60,000 บาท เนื่องจากเป็นเทคนิคที่ใช้เวลานานและต้องทำโดยแพทย์ที่มีความชำนาญ
  • DHI  → ราคาเริ่มต้นที่ 90,000 บาท เพราะต้องใช้เครื่องมือเฉพาะทางและใช้ทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์สูง
  • Long Hair FUE → ราคาแพงกว่า FUE ปกติ เนื่องจากต้องใช้เทคนิคที่ซับซ้อนและไม่ต้องโกนผม ราคาเริ่มต้นที่ 100,000 บาท
  1. จำนวนกราฟท์ที่ปลูก
  • ถ้าปลูกเพียงบางจุด เช่น เติมแนวไรผม อาจใช้ 1,500 – 2,000 กราฟท์ ราคาประมาณ 80,000 – 120,000 บาท
  • ถ้าปลูกทั้งศีรษะในผู้ที่มีภาวะผมบางระดับปานกลางถึงมาก อาจต้องใช้ 3,000 – 5,000 กราฟท์ ทำให้ราคาสูงถึง 150,000 – 300,000 บาท
  1. ประสบการณ์ของแพทย์และมาตรฐานของคลินิก
  • คลินิกที่มีทีมแพทย์เฉพาะทางที่มีประสบการณ์สูง มักมีราคาสูงกว่าแต่ให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและลดความเสี่ยง
  • คลินิกที่ใช้เทคโนโลยีและอุปกรณ์ที่ทันสมัยเช่นเครื่องเจาะรากผมที่มีขนาดเล็กมาก หรือการใช้ PRP ควบคู่ มักมีราคาสูงขึ้น
  1. บริการเสริมที่รวมอยู่ในแพ็กเกจ
  • บางคลินิกมีการรวมบริการ PRP Therapy หรือ Growth Factor ไว้ในแพ็กเกจ ซึ่งช่วยให้ผลลัพธ์ของการปลูกผมดียิ่งขึ้น
  • ค่าติดตามผลและการดูแลหลังปลูกผม อาจรวมอยู่ในแพ็กเกจ หรืออาจต้องจ่ายเพิ่มขึ้นอยู่กับคลินิก

10. คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการปลูกผมถาวร

ปลูกผมถาวรคืออะไร?

การปลูกผมถาวรคือการย้ายรากผมจากบริเวณที่มีความหนาแน่นของผมสูง (เช่น ด้านหลังศีรษะ) ไปยังบริเวณที่ผมบางหรือศีรษะล้าน เช่น ไรผม กลางศีรษะ หรือด้านหน้า ผลลัพธ์ที่ได้คือเส้นผมใหม่ที่มีลักษณะเป็นธรรมชาติและเจริญเติบโตต่อไปเหมือนเส้นผมปกติ

ปลูกผมถาวรเจ็บไหม?

ในระหว่างการปลูกผม แพทย์จะใช้ยาชาเฉพาะที่เพื่อลดความเจ็บปวด ทำให้คนไข้รู้สึกผ่อนคลายและไม่เจ็บขณะทำ อย่างไรก็ตาม อาจมีอาการตึงหรือปวดเล็กน้อยหลังการรักษา ซึ่งสามารถบรรเทาได้ด้วยยาแก้ปวดตามคำแนะนำของแพทย์

ผลลัพธ์ของการปลูกผมถาวรจะเห็นเมื่อไหร่?

หลังปลูกผม เส้นผมที่ปลูกจะเริ่มหลุดร่วงในช่วง 2-3 สัปดาห์แรก (Shock Loss) ซึ่งเป็นกระบวนการปกติ จากนั้นผมใหม่จะเริ่มงอกขึ้นในช่วง 3-6 เดือน และเห็นผลลัพธ์ที่สมบูรณ์ประมาณ 12 เดือน

ปลูกผมถาวรแล้วผมจะหลุดร่วงอีกไหม?

เส้นผมที่ปลูกมาจากรากผมที่แข็งแรง (Resistant Zone) จะไม่หลุดร่วงง่ายเหมือนเส้นผมเดิมที่มีปัญหา อย่างไรก็ตาม ผมธรรมชาติที่ไม่ได้ปลูกอาจยังหลุดร่วงได้ตามปัจจัยต่าง ๆ เช่น อายุ ฮอร์โมน หรือพันธุกรรม

ปลูกผมถาวรมีแผลเป็นหรือไม่?

วิธี FUE: แผลเป็นที่เกิดขึ้นจะมีลักษณะเป็นจุดเล็ก ๆ (Dot Scars) ซึ่งแทบมองไม่เห็น

วิธี FUT: มีแผลเป็นยาวบริเวณด้านหลังศีรษะ แต่สามารถปกปิดได้ด้วยผมที่ยาวขึ้น

ใครเหมาะกับการปลูกผมถาวร?

ผู้ที่มีปัญหาผมบางหรือศีรษะล้านทั้งชายและหญิง

ผู้ที่มีสุขภาพดี ไม่มีโรคประจำตัวที่ส่งผลต่อการเจริญเติบโตของเส้นผม

ผู้ที่ต้องการแก้ไขกรอบหน้า หรือเติมเต็มไรผมที่บาง

ปลูกผมถาวรต้องพักฟื้นนานแค่ไหน?

หลังปลูกผม คนไข้สามารถกลับบ้านได้ทันที และส่วนใหญ่ใช้เวลาเพียง 1-2 สัปดาห์ในการฟื้นตัว

วันที่ 1-3: ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณที่ปลูกผม

วันที่ 7: แผลจะเริ่มแห้งและตกสะเก็ด

สัปดาห์ที่ 2: สามารถกลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ

ปลูกผมถาวรมีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่?

ราคาขึ้นอยู่กับเทคนิคที่ใช้และจำนวนกราฟท์ที่ต้องการปลูก

วิธี FUE: ราคาเริ่มต้นประมาณ 50,000-150,000 บาท

วิธี DHI: ราคาเริ่มต้นประมาณ 80,000-200,000 บาท

ปลูกผมถาวรใช้เวลาในการทำเท่าไหร่?

ระยะเวลาขึ้นอยู่กับจำนวนกราฟท์ที่ปลูก

ปริมาณน้อย (500-1,000 กราฟท์): ใช้เวลา 4-5 ชั่วโมง

ปริมาณมาก (2,000 กราฟท์ขึ้นไป): ใช้เวลา 6-8 ชั่วโมง

อายุเท่าไหร่ถึงเหมาะสมสำหรับการปลูกผม?

คนส่วนใหญ่มักเริ่มพิจารณาปลูกผมเมื่ออายุประมาณ 25 ปีขึ้นไป เพราะเป็นช่วงที่อาการผมร่วงหรือศีรษะล้านเริ่มคงที่ อย่างไรก็ตาม แพทย์จะพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ เช่น สภาพผมและสุขภาพร่วมด้วย

ปลูกผมถาวรแล้วผมจุดอื่นจะบางลงไหม?

การย้ายรากผมจากด้านหลังศีรษะ (Donor Site) อาจทำให้ผมบริเวณนั้นดูบางลงเล็กน้อย แต่ถ้าแพทย์มีประสบการณ์สูงและกระจายการย้ายรากผมอย่างเหมาะสม จะไม่ทำให้เกิดความแตกต่างที่สังเกตได้

ปลูกผมมีผลข้างเคียงอะไรบ้าง?

อาการบวมบริเวณหน้าผากหรือหนังศีรษะ (จะหายไปใน 2-3 วัน)

อาการคันหรือระคายเคืองบริเวณที่ปลูกผม

รอยแดงหรือรอยช้ำเล็กน้อย (พบได้ในบางคนและหายไปใน 1 สัปดาห์)

คำแนะนำสำหรับคนที่อยากปลูกผมถาวร

ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบสุขภาพผม

เลือกคลินิกที่มีมาตรฐานและประสบการณ์

ศึกษาวิธีการปลูกผมที่เหมาะสมกับปัญหาของคุณ

ที่ 42G Clinic เราเชี่ยวชาญด้านการปลูกผมเพื่อคืนความมั่นใจ หากคุณต้องการเสริมความงามเพิ่มเติม เช่น เสริมจมูก หรือ เติมไขมัน เพื่อปรับรูปหน้าให้สมบูรณ์แบบ Pmed Clinic

สนใจอ่านเพิ่มเติม: Pmed Clinic เสริมจมูก

Facebook
Pinterest
Email

บทความล่าสุด

ปรึกษาแพทย์ฟรี

สอบถามเพิ่มเติมกับทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและมากประสบการณ์ เกี่ยวกับบริการศัลยกรรมความงามหลากหลายรูปแบบ ที่เน้นคุณภาพและการดูแลอย่างใส่ใจในทุกขั้นตอน