รวมคำถามเกี่ยวกับการปลูกผมสำหรับใครที่มีปัญหาผมร่วง ผมบาง และกำลังมองหาทางออกด้วย การปลูกผม แต่ยังมีคำถามมากมายในใจ หมอเข้าใจดีครับว่าการปลูกผมเป็นการตัดสินใจที่สำคัญ และหลายคนอาจไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นอย่างไร ในบทความนี้หมอได้รวบรวมคำถามยอดฮิตเกี่ยวกับการปลูกผม พร้อมคำตอบจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเทคนิคที่ใช้, ค่าใช้จ่าย, ผลข้างเคียง หรือการดูแลหลังทำ เพื่อให้คุณมีข้อมูลครบถ้วนก่อนตัดสินใจครับ
สนใจปลูกผม: 42G Clinic ปลูกผมถาวร
ปลูกผม คืออะไร
คนที่มีปัญหาผมร่วง ศีรษะล้าน หรือไรผมบาง อาจเคยได้ยินเรื่อง “การปลูกผม” แต่ยังไม่แน่ใจว่าคืออะไร และสามารถช่วยแก้ปัญหาผมร่วงได้จริงหรือไม่ หมอจะอธิบายให้ฟังกันนะครับ การปลูกผม (Hair Transplant) คือกระบวนการย้ายรากผมจากบริเวณที่แข็งแรงเช่นท้ายทอยหรือด้านข้างของศีรษะ ไปยังบริเวณที่ผมบางหรือศีรษะล้าน โดยใช้เทคนิคทางการแพทย์ที่ช่วยให้เส้นผมที่ปลูกใหม่แข็งแรงและดูเป็นธรรมชาติ
แล้วทำไมการปลูกผมถึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหาผมร่วง? เพราะแตกต่างจากแชมพูบำรุงหรือยาปลูกผมที่อาจใช้เวลานานและไม่ได้ผลสำหรับบางคน การปลูกผมเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ เพราะใช้รากผมของตัวเอง ทำให้เส้นผมที่ขึ้นใหม่ติดแน่น อยู่ถาวร และดูเป็นธรรมชาติ เมื่อรากผมที่ปลูกติดแล้ว ผมจะงอกขึ้นใหม่ตามวงจรธรรมชาติ และสามารถตัดแต่งหรือเซ็ตผมได้ตามต้องการเลยครับ
ปลูกผมมีกี่แบบ
การปลูกผมแบบไม่ต้องโกนศีรษะ (Non-Shaven Hair Transplant)
เทคนิคนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปลูกผมโดยที่ไม่ต้องโกนศีรษะทั้งหมด ซึ่งเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการใช้ชีวิตตามปกติทันทีหลังทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มที่ต้องพบปะผู้คนอยู่ตลอดเวลาเช่นนักธุรกิจ ดารา หรือผู้ที่ไม่ต้องการให้ใครสังเกตเห็นว่าตัวเองเพิ่งปลูกผมมา
ในกระบวนการทำแพทย์จะสกัดรากผมจากบริเวณท้ายทอยหรือข้างศีรษะโดยไม่ต้องโกนผม เทคนิคนี้ต้องใช้ความประณีตและเครื่องมือเฉพาะทางเพื่อให้สามารถเก็บกราฟท์ผมได้อย่างมีประสิทธิภาพ รากผมที่ได้จะถูกนำไปปลูกในบริเวณที่ต้องการเติมเต็มโดยให้แนวผมเรียงตัวเป็นธรรมชาติ
ข้อดีของการปลูกผมแบบไม่โกนศีรษะคือไม่ต้องรอให้ผมที่โกนยาวขึ้นใหม่ ทำให้สามารถใช้ชีวิตตามปกติได้ทันที อย่างไรก็ตามเทคนิคนี้อาจใช้เวลาในการทำมากกว่าการปลูกผมแบบโกนศีรษะ แพทย์ต้องสกัดรากผมออกมาอย่างละเอียดโดยไม่กระทบต่อเส้นผมเดิม และมักเหมาะกับเคสที่ต้องการปลูกผมในปริมาณไม่มากเช่นเติมไรผมหรือแนวผมด้านหน้า
เทคนิคที่นิยมใช้ในกลุ่มนี้คือ Long Hair FUE ซึ่งเป็นวิธีที่สามารถปลูกผมได้โดยไม่ต้องโกนแม้แต่เส้นเดียว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติทันที
การปลูกผมแบบโกนศีรษะ (Shaven Hair Transplant)
การปลูกผมแบบโกนศีรษะเป็นวิธีที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปลูกผมในปริมาณมาก หรือแก้ปัญหาผมร่วงในบริเวณกว้าง กระบวนการเริ่มต้นจากการโกนผมในบริเวณที่ต้องการสกัดรากผม เพื่อให้แพทย์สามารถเจาะและเก็บกราฟท์ผมได้อย่างแม่นยำ รากผมที่ได้จะถูกนำไปปลูกในบริเวณที่ต้องการ โดยใช้เทคนิคที่ช่วยให้เส้นผมเรียงตัวตามแนวธรรมชาติ
ข้อดีของการปลูกผมแบบโกนศีรษะคือสามารถปลูกผมได้ในปริมาณมาก และช่วยให้แพทย์สามารถควบคุมความหนาแน่นของผมที่ปลูกได้ดีกว่า อีกทั้งยังช่วยลดระยะเวลาการทำหัตถการลงได้เมื่อเทียบกับวิธีที่ไม่ต้องโกนผม อย่างไรก็ตามข้อจำกัดหลักคือต้องโกนผมทั้งหมดในบริเวณที่ทำ ซึ่งอาจทำให้เห็นรอยจากการปลูกผมชัดเจนในช่วงแรก และต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์จนกว่าผมใหม่จะขึ้นมาเติมเต็มพื้นที่
ในกลุ่มนี้ มีหลายเทคนิคที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ได้แก่
FUE (Follicular Unit Extraction) เป็นเทคนิคที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะไม่มีรอยแผลเป็นแนวยาว ใช้เครื่องมือขนาดเล็กเพื่อสกัดรากผมทีละกอ แล้วนำไปปลูกในบริเวณที่ต้องการ เทคนิคนี้ช่วยให้แผลมีขนาดเล็ก ฟื้นตัวเร็ว และให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ
DHI (Direct Hair Implantation) เป็นเทคนิคที่พัฒนามาจาก FUE โดยใช้ DHI Implanter Pen ปลูกเส้นผมโดยตรงลงในหนังศีรษะโดยไม่ต้องสร้างแผลก่อนปลูก ทำให้สามารถกำหนดทิศทางและความหนาแน่นของเส้นผมได้แม่นยำกว่า เหมาะสำหรับการปลูกผมที่ต้องการให้แน่นขึ้น
Micro FUE เป็นเทคนิคที่ใช้หัวเจาะขนาดเล็กกว่าปกติ ช่วยลดขนาดของแผลให้เล็กที่สุด ให้ผลลัพธ์ที่ละเอียดและเป็นธรรมชาติมากขึ้น เหมาะสำหรับคนที่ต้องการปลูกผมแน่นในพื้นที่ขนาดเล็ก
หลังปลูกผมไปแล้ว ผมจะขึ้นชัวร์ไหม
ถ้าปลูกผมด้วยเทคนิคที่ถูกต้องและทำโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ โอกาสที่เส้นผมจะขึ้นสำเร็จมีสูงถึง 80-90% เลยครับ แต่ต้องบอกก่อนว่าไม่มีเทคนิคไหนที่การันตีผลลัพธ์ 100% ได้ เพราะผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยไม่ว่าจะเป็นสุขภาพของรากผมเดิม เทคนิคที่ใช้ ประสบการณ์ของแพทย์ และที่สำคัญคือการดูแลตัวเองหลังทำของคนไข้เองครับ ถ้าทำทุกอย่างถูกต้องผมที่ปลูกไปมีโอกาสขึ้นแน่นอนครับ
การปลูกผมคือการย้ายรากผมจากบริเวณที่แข็งแรงเช่นท้ายทอยไปปลูกในจุดที่ต้องการ ซึ่งรากผมที่ถูกย้ายไปยังคงคุณสมบัติเดิมและสามารถงอกขึ้นใหม่ได้ตามธรรมชาติครับ อย่างไรก็ตามกระบวนการนี้ต้องใช้เวลา หลังปลูกไปได้สักพัก ผมที่ปลูกอาจร่วงลงไปก่อน ซึ่งเป็นเรื่องปกติ ไม่ต้องตกใจนะครับ เพราะนี่คือช่วงที่เรียกว่า Shock Loss รากผมยังคงอยู่ใต้หนังศีรษะและพร้อมที่จะงอกใหม่อีกครั้ง
ช่วงเวลาที่หลายคนกังวลคือสองถึงสามสัปดาห์แรกที่ผมเริ่มร่วงครับ บางคนอาจคิดว่าการปลูกผมไม่ได้ผล แต่ที่จริงแล้ว นี่เป็นแค่การผลัดผมตามธรรมชาติ รากผมยังคงแข็งแรงและจะเริ่มงอกใหม่ในช่วงสามถึงสี่เดือนหลังปลูก และจากนั้นจะค่อยๆ หนาขึ้นเรื่อยๆ กว่าจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนก็ประมาณหกถึงสิบสองเดือนครับ ถ้าอดทนรอและดูแลดีๆ รับรองว่าผมขึ้นแน่นอน
เทคนิค FUE กับ DHI ปลูกเทคนิคไหนดีกว่ากัน
เทคนิค FUE (Follicular Unit Extraction) และ DHI (Direct Hair Implantation) เป็นเทคนิคปลูกผมที่ได้รับความนิยมมากครับ แต่ทั้งสองแบบมีความแตกต่างกันทั้งในกระบวนการทำและผลลัพธ์ที่ได้ การเลือกว่าจะใช้เทคนิคไหนดีกว่ากันจริงๆ แล้วขึ้นอยู่กับสภาพเส้นผมของแต่ละคน รวมถึงความต้องการด้านความหนาแน่นและระยะเวลาการฟื้นตัวหลังทำ ซึ่งแต่ละเทคนิคก็มีข้อดีของตัวเองครับ
- FUE และ DHI เป็นเทคนิคที่ต่างกันในกระบวนการปลูกผม
FUE ใช้เครื่องมือพิเศษในการเจาะและดึงรากผมออกมาทีละกอ แล้วนำไปปลูกโดยแพทย์ต้องเจาะช่องก่อนจึงจะใส่รากผมลงไปได้ ส่วน DHI ใช้ Choi Implanter Pen ซึ่งสามารถปลูกเส้นผมได้โดยตรงโดยไม่ต้องเจาะช่องล่วงหน้า ทำให้รากผมอยู่นอกร่างกายเวลาสั้นลงและช่วยให้ติดง่ายขึ้น - DHI ให้ผลลัพธ์ที่แม่นยำและเป็นธรรมชาติมากกว่า โดยเฉพาะบริเวณไรผมหรือแนวเส้นผมที่ต้องการความละเอียดสูง
เนื่องจากแพทย์สามารถกำหนดทิศทาง องศา และความลึกของเส้นผมได้อย่างแม่นยำ ทำให้แนวผมที่ได้ดูเป็นธรรมชาติและลดโอกาสที่ผมจะงอกผิดทิศทาง อีกทั้งการใช้ Implanter Pen ช่วยให้เส้นผมปลูกได้หนาแน่นขึ้นเมื่อเทียบกับ FUE - FUE เหมาะกับการปลูกผมในบริเวณกว้างและสามารถเก็บกราฟต์ได้จำนวนมากในเวลาสั้นกว่า
เทคนิคนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาศีรษะล้านเป็นบริเวณกว้าง เนื่องจากสามารถเก็บรากผมได้มากขึ้นในแต่ละครั้ง และมีค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับ DHI อย่างไรก็ตาม ความแน่นของเส้นผมที่ปลูกอาจไม่เท่ากับ DHI เพราะต้องพึ่งพาการเจาะช่องแยกต่างหากก่อนปลูก - การเลือกเทคนิคที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับเป้าหมายและสภาพผมของแต่ละคน
หากต้องการผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและแนวผมที่ดูแน่นขึ้น DHI อาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะกว่า แต่หากต้องการปลูกผมในบริเวณที่กว้างขึ้นและต้องใช้จำนวนกราฟต์มาก FUE อาจเป็นตัวเลือกที่ดี ทั้งนี้ การปรึกษาแพทย์เฉพาะทางก่อนตัดสินใจจะช่วยให้เลือกเทคนิคที่เหมาะกับสภาพเส้นผมของตนเองที่สุด
บทความน่ารู้: ปลูกผม แบบไหนดี รู้ทุกเรื่อง! DHI vs FUE ควรเลือกปลูกผมวิธีไหน
เส้นผมข้างหลังที่ถูกดึงออกไปปลูกผมข้างหน้า หนังศีรษะด้านหลังจะแหว่งไหม
เพราะการปลูกผมต้องใช้รากผมจาก บริเวณท้ายทอย ซึ่งเป็นจุดที่เส้นผมแข็งแรงที่สุด แล้วถ้าถอนออกไปเยอะๆ หนังศีรษะตรงนั้นจะบางหรือแหว่งจนเห็นได้ชัดไหม? คำตอบคือ ถ้าทำโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์และใช้เทคนิคที่ถูกต้อง หนังศีรษะด้านหลังจะไม่แหว่งจนผิดปกติแน่นอนครับ เทคนิคปลูกผมสมัยใหม่ออกแบบมาเพื่อให้รากผมที่ถูกนำออกไปกระจายตัวอย่างเหมาะสม ทำให้บริเวณท้ายทอยดูเป็นธรรมชาติ ไม่ดูบางจนสังเกตได้ครับ
แล้วทำไมหนังศีรษะบริเวณท้ายทอยถึงไม่แหว่งล่ะ?
แพทย์จะทำการวางแผนก่อนดึงรากผมออกครับ ถ้าใช้ เทคนิค FUE แพทย์จะใช้หัวเจาะขนาดเล็กมากๆ (ประมาณ 0.8-1 มม.) ในการดึงรากผมทีละกอ และจะเว้นระยะห่างให้เหมาะสม ไม่ให้หนังศีรษะดูบางจนเกินไปได้ครับ
สุดท้ายแล้ว หนังศีรษะบริเวณท้ายทอยจะบางลงไหม?
แน่นอนครับว่าการดึงรากผมออกไปจะทำให้จำนวนเส้นผมบริเวณท้ายทอยลดลงบ้าง แต่ไม่ถึงกับบางจนสังเกตได้ เพราะโดยปกติแล้ว บริเวณท้ายทอยมีความหนาแน่นของเส้นผมมากอยู่แล้ว (ประมาณ 100-120 กอ/ตารางเซนติเมตร) การนำออกบางส่วนจึงไม่ได้ส่งผลกระทบมากครับ ยิ่งทำโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ เขาจะคำนวณให้พอดีว่าควรดึงออกเท่าไหร่เพื่อให้ทั้งด้านหลังและด้านหน้ายังดูสมดุลกันอยู่ ถ้ายังไม่มั่นใจ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจครับ สุดท้ายนี้อย่าลืมเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีรีวิวจากคนไข้จริง เท่านี้ก็มั่นใจได้แล้วครับว่าท้ายทอยจะไม่แหว่งหรือบางลงครับ
ปลูกผมมีผลข้างเคียงไหม มีโอกาสที่ผมจะกลับมาล้านเหมือนเดิมอีกไหม
- อาการบวมและรอยแดง
หลังปลูกผม หนังศีรษะอาจมีอาการบวมและแดง โดยเฉพาะบริเวณที่ปลูกและบริเวณท้ายทอยที่ดึงรากผมออก อาการเหล่านี้เป็นเรื่องปกติและมักหายไปเองภายใน 3-7 วัน แต่ถ้ารู้สึกว่ามีอาการผิดปกติ เช่น บวมมากผิดปกติหรือเจ็บมาก ควรปรึกษาแพทย์ครับ - Shock Loss หรือผมร่วงชั่วคราว
ในช่วง 2-6 สัปดาห์แรก เส้นผมที่ปลูกไปอาจร่วงลงก่อน ซึ่งเป็นกระบวนการปกติที่เรียกว่า Shock Loss ไม่ต้องตกใจครับ เพราะรากผมยังอยู่ และเส้นผมใหม่จะงอกขึ้นมาแทนที่ในช่วง 3-4 เดือนหลังปลูก ถือเป็นขั้นตอนตามธรรมชาติที่ต้องใช้เวลา - อาการคันบริเวณที่ปลูกผม
หลายคนจะมีอาการคันในช่วงที่แผลเริ่มหาย เพราะหนังศีรษะกำลังฟื้นตัว อาการนี้อาจเกิดขึ้นได้ประมาณ 1-2 สัปดาห์ ไม่ควรเกาหรือขยี้แรง ๆ เพราะอาจกระทบต่อกราฟต์ผมที่ปลูกไปได้ ควรใช้แชมพูสูตรอ่อนโยนหรือยาที่แพทย์แนะนำเพื่อลดอาการคันครับ - ตุ่มสิวขึ้นบริเวณที่ปลูกผม
บางคนอาจมีตุ่มคล้ายสิวขึ้นบริเวณที่ปลูกผม ซึ่งเกิดจากเส้นผมใหม่ที่กำลังงอกขึ้นมาใต้ผิวหนัง เป็นเรื่องปกติและมักหายไปเองในไม่กี่สัปดาห์ หากตุ่มมีขนาดใหญ่หรืออักเสบ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับยาลดอาการอักเสบครับ - อาการชาหรือความรู้สึกแปลกๆ บริเวณหนังศีรษะ
หลังปลูกผม อาจมีอาการชาหรือความรู้สึกตึง ๆ บริเวณที่ปลูกและท้ายทอย ซึ่งเกิดจากการที่เส้นประสาทเล็ก ๆ ถูกกระทบในระหว่างหัตถการ อาการนี้จะค่อย ๆ ดีขึ้นภายใน 2-3 เดือนครับ
โอกาสที่ผมจะกลับมาล้านเหมือนเดิมมีไหม?
ผมที่ปลูกไปจะอยู่ถาวร เพราะรากผมที่นำมาปลูกมาจากบริเวณท้ายทอย ซึ่งเป็นส่วนที่ทนต่อฮอร์โมน DHT (ตัวการหลักที่ทำให้ผมร่วง) ทำให้โอกาสที่เส้นผมที่ปลูกไปจะร่วงอีกมีน้อยมากครับ อย่างไรก็ตาม เส้นผมเดิมที่ไม่ได้ถูกปลูกเสริม อาจยังคงบางลงได้ตามอายุหรือปัจจัยทางพันธุกรรม ถ้ามีแนวโน้มผมบางต่อเนื่อง อาจต้องดูแลเพิ่มเติมด้วยวิธีอื่น เช่น การใช้ยาปลูกผม PRP หรือเลเซอร์กระตุ้นรากผม เพื่อช่วยชะลอการหลุดร่วงของเส้นผมเดิมและเสริมให้เส้นผมที่ปลูกไปแข็งแรงขึ้นครับ ดังนั้น หากอยากให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานที่สุด ควรดูแลสุขภาพเส้นผมเป็นประจำและปรึกษาแพทย์เรื่องแนวทางการรักษาเพิ่มเติมครับ
หลังปลูกผมต้องดูแลรักษายังไง ต้องใส่หมวกป้องกันแสงแดดไหม
เรื่องของแสงแดดก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องระวัง หลังปลูกผม ควรหลีกเลี่ยงการโดนแดดจัดโดยตรงอย่างน้อย 2-4 สัปดาห์เพราะรังสี UV อาจทำให้หนังศีรษะระคายเคืองและทำให้รากผมที่ปลูกไปอ่อนแอลง หากจำเป็นต้องออกแดด การใส่หมวกสามารถช่วยป้องกันได้ แต่ต้องเลือกหมวกที่ไม่รัดแน่นจนเกินไปและทำจากผ้าที่ระบายอากาศได้ดี เพื่อป้องกันการกดทับบริเวณที่ปลูกผมและลดความอับชื้น
นอกจากการป้องกันแสงแดดแล้ว การล้างผมก็เป็นสิ่งที่ต้องทำอย่างถูกต้อง ควรใช้แชมพูสูตรอ่อนโยนและล้างผมตามคำแนะนำของแพทย์ โดยปกติจะสามารถเริ่มล้างผมได้ในวันที่ 3-4 หลังทำ แต่ต้องทำอย่างเบามือ ห้ามใช้แรงกดหรือขยี้ศีรษะอย่างรุนแรง
ปลูกผมแล้วใช้เวลาเท่าไหร่ถึงจะเรียกว่าผมขึ้นสมบูรณ์
ปลูกผมกันมาแล้ว อาจจะอดใจรอให้ผมขึ้นไม่ได้ อยากเห็นผลลัพธ์เร็วๆ ใช่ไหมครับ? แต่ต้องบอกก่อนเลยว่าการปลูกผมเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลา ผมไม่ได้ขึ้นทันทีหลังทำเสร็จ แต่จะค่อยๆ งอกขึ้นตามวงจรของเส้นผม ซึ่งโดยปกติจะใช้เวลาประมาณ 6-12 เดือนกว่าผมจะขึ้นเต็มที่และดูเป็นธรรมชาติ มาดูกันครับว่าตั้งแต่วันแรกจนถึงหนึ่งปี ผมของเราจะเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง
สัปดาห์ที่ 1-2: ผมปลูกแล้ว แต่ต้องดูแลดีๆ
ช่วงนี้เป็นช่วงที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษครับ หนังศีรษะจะมีอาการบวม แดง หรือรู้สึกคันเล็กน้อย ซึ่งเป็นเรื่องปกติของการปลูกผม หลายคนอาจกังวลว่าแผลจะดูน่ากลัวไหม หรือผมที่ปลูกไปจะติดแน่นหรือเปล่า จริงๆ แล้วถ้าปลูกกับแพทย์ที่มีประสบการณ์ และดูแลตัวเองตามที่แพทย์แนะนำ โอกาสที่รากผมจะติดมีสูงมากครับ ช่วงนี้สิ่งที่ควรทำคือหลีกเลี่ยงการสัมผัส ขยี้ หรือเกาบริเวณที่ปลูกผม เพื่อป้องกันไม่ให้รากผมที่ปลูกไปหลุดออก
สัปดาห์ที่ 2-6: ผมร่วงแล้ว! แต่ไม่ต้องตกใจ
ใครที่ปลูกผมมาแล้วเจอว่าผมที่ปลูกไปเริ่มร่วงลง อย่าเพิ่งตกใจไปครับ เพราะนี่คืออาการปกติที่เรียกว่า Shock Loss เป็นช่วงที่เส้นผมที่ปลูกไปจะหลุดร่วงออกจากหนังศีรษะ แต่จริงๆ แล้วรากผมยังอยู่ใต้ผิวหนังครับ ไม่ได้หายไปไหน เพียงแค่เส้นผมด้านบนหลุดออกก่อน และรากผมจะค่อยๆ ฟื้นตัวและเริ่มงอกใหม่อีกครั้งในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เป็นช่วงที่ต้องอดทนและใจเย็นๆ ครับ
เดือนที่ 3-4: ผมเริ่มขึ้นใหม่ แต่ยังบางอยู่
หลังจากที่ผ่านช่วงผลัดผมไปแล้ว ผมใหม่จะเริ่มงอกขึ้นมาจากรากที่ฝังอยู่ใต้หนังศีรษะครับ แต่ต้องบอกก่อนว่าผมที่ขึ้นมาในช่วงนี้จะยังบางและอ่อนมาก มองเห็นเป็นไรผมเล็กๆ บางคนอาจจะรู้สึกว่าผมขึ้นช้า หรือไม่เห็นผลเท่าที่ควร อย่าเพิ่งหมดหวังครับ นี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นผมจะค่อยๆ หนาขึ้นตามธรรมชาติ
เดือนที่ 5-6: ผมเริ่มดูดีขึ้นอย่างชัดเจน
ช่วงนี้เป็นช่วงที่หลายคนเริ่มสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงครับ เส้นผมที่งอกขึ้นมาเริ่มดูหนาขึ้น ยาวขึ้น และบางเส้นอาจจะมีลักษณะหยิกหรือลอนเล็กน้อย ซึ่งเป็นเรื่องปกติเพราะเส้นผมกำลังปรับตัวครับ หลังจากนี้ไป ผมจะค่อยๆ แข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ และเริ่มดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น
เดือนที่ 9-12: ผมขึ้นสมบูรณ์แล้ว พร้อมจัดแต่งทรงได้
หลังจากผ่านไปเกือบปี ผมที่ปลูกไปจะขึ้นเต็มที่ แข็งแรง และสามารถตัดหรือจัดแต่งทรงได้ตามปกติครับ ผลลัพธ์ในช่วงนี้ถือว่าเป็นผลลัพธ์สุดท้ายของการปลูกผมแล้ว เส้นผมที่ขึ้นจะดูเป็นธรรมชาติ ไม่หลุดร่วงง่าย และสามารถดูแลเหมือนผมปกติทั่วไปได้เลยครับ บางคนอาจจะเห็นว่าผมยังหนาขึ้นเรื่อยๆ ไปจนถึงเดือนที่ 18 ขึ้นอยู่กับสภาพเส้นผมและการดูแลตัวเอง
ปลูกผมที่ไหนดี?
การเลือกคลินิกที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญมากครับ ถ้าเลือกผิดอาจทำให้เสียทั้งเงินและเสียความมั่นใจไปเปล่า ๆ มาดูกันว่าควรพิจารณาจากอะไรบ้างเพื่อให้มั่นใจว่าปลูกผมแล้วได้ผลดีจริง
1. แพทย์ต้องมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ
การปลูกผมไม่ใช่แค่เรื่องของเทคนิค แต่เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ครับ แพทย์ต้องมีประสบการณ์เพียงพอในการประเมินเส้นผม ออกแบบแนวผม และเลือกจำนวนกราฟต์ที่เหมาะสม หากแพทย์ไม่มีความเชี่ยวชาญ อาจทำให้แนวผมดูไม่เป็นธรรมชาติ หรือปลูกแล้วเส้นผมขึ้นไม่ดี ดังนั้น ควรดูว่าแพทย์ที่ทำมีประสบการณ์กี่ปี เคยทำเคสแบบไหนมาบ้าง และมีรีวิวจากคนไข้จริงที่น่าเชื่อถือหรือไม่
2. เทคนิคปลูกผมต้องทันสมัยและเหมาะกับแต่ละคน
ปัจจุบันมีเทคนิคปลูกผมหลายแบบเช่น FUE, DHI, FUT, Micro FUE หรือ Long Hair FUE ซึ่งแต่ละเทคนิคมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน คลินิกที่ดีควรมีตัวเลือกที่เหมาะสมให้คนไข้ ไม่ใช่บังคับใช้เทคนิคเดียวกันกับทุกคน บางคนอาจต้องการแนวผมที่ละเอียดและแน่น ควรใช้ DHI ในขณะที่บางคนต้องการปลูกบริเวณกว้าง FUE อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า ดังนั้นควรเลือกคลินิกที่มีเทคนิคที่เหมาะกับสภาพผมของตัวเอง
3. ดูรีวิวและผลลัพธ์จากผู้ใช้จริง
รีวิวจากคนที่เคยปลูกผมมาก่อนเป็นสิ่งสำคัญมากครับ เพราะเราจะได้เห็นผลลัพธ์จริงของคลินิกนั้นว่าทำออกมาเป็นอย่างไร แนวผมดูเป็นธรรมชาติไหม ผมที่ปลูกไปขึ้นดีหรือไม่ คลินิกที่ดีจะมีการอัปเดตรีวิวจากเคสจริงเป็นระยะ และควรมีทั้งภาพก่อน-หลังทำ รวมถึงวิดีโอที่แสดงให้เห็นถึงผลลัพธ์ที่ชัดเจน
4. สถานที่ต้องได้มาตรฐานและมีอุปกรณ์ครบครัน
คลินิกปลูกผมควรเป็นสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน สะอาด ปลอดภัย และมีเครื่องมือที่ทันสมัย การปลูกผมต้องใช้เครื่องมือพิเศษเช่นหัวเจาะ FUE หรือ Choi Implanter Pen สำหรับ DHI ถ้าใช้เครื่องมือที่ไม่ดี อาจทำให้เส้นผมได้รับความเสียหายและปลูกแล้วไม่ขึ้น ควรตรวจสอบว่าเครื่องมือที่ใช้เป็นของใหม่ ทันสมัย และผ่านมาตรฐานทางการแพทย์
5. มีการดูแลหลังทำและติดตามผล
การปลูกผมไม่จบแค่วันที่ทำเสร็จครับ แต่ต้องมีการดูแลหลังทำเพื่อให้แน่ใจว่าผมจะขึ้นดีจริง คลินิกที่ดีควรมีการติดตามผลหลังทำ และให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลหนังศีรษะ การล้างผม และการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผม ถ้าคลินิกไหนปลูกเสร็จแล้วไม่ดูแลหลังทำ หรือไม่มีช่องทางให้สอบถามเพิ่มเติม อาจไม่ใช่ตัวเลือกที่ดี
ปลูกผม ราคาเท่าไหร่
ราคาการปลูกผมขึ้นอยู่กับเทคนิคและจำนวนกราฟผมที่ใช้ โดยเฉลี่ยมีรายละเอียดดังนี้:
- เทคนิค FUE
- ราคาเริ่มต้นที่ 60,000-120,000 บาท ขึ้นอยู่กับจำนวนกราฟที่ต้องการ
- เทคนิค DHI
- มีราคาสูงกว่า FUE เริ่มต้นที่ 80,000-150,000 บาท เนื่องจากต้องการความแม่นยำสูง
- เทคนิค Long Hair FUE
- ราคาเริ่มต้นที่ 100,000 บาท เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการตัดผมสั้น
แพ็กเกจเสริม
บางคลินิกมีแพ็กเกจที่รวม PRP Treatment และการดูแลหลังปลูกผมไว้ด้วย
ราคาการปลูกผมไม่ได้มีตัวเลขที่ตายตัว แต่ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างเช่นเทคนิคที่ใช้ จำนวนกราฟต์ที่ต้องปลูก ความชำนาญของแพทย์ และบริการเสริมต่างๆ คลินิกบางแห่งอาจมีราคาเริ่มต้นที่ถูกกว่า แต่ก็ต้องดูให้แน่ใจว่ามีมาตรฐานและใช้เทคนิคที่มีประสิทธิภาพจริงๆ
เทคนิคที่ใช้มีผลต่อราคายังไง?
- เทคนิค FUE (Follicular Unit Extraction)
เทคนิคนี้เป็นที่นิยมมาก เพราะสามารถปลูกได้เป็นบริเวณกว้าง และใช้เวลาพักฟื้นไม่นาน ราคาเริ่มต้นจะอยู่ที่ 60,000-120,000 บาท ซึ่งขึ้นอยู่กับจำนวนกราฟต์ที่ต้องการปลูก ยิ่งต้องการปลูกให้แน่นขึ้น หรือปลูกบริเวณกว้างขึ้น ราคาก็จะสูงขึ้นครับ - เทคนิค DHI (Direct Hair Implantation)
DHI เป็นเทคนิคที่ให้ความแม่นยำสูง เพราะใช้ Choi Implanter Pen ในการปลูกเส้นผมโดยตรงโดยไม่ต้องเจาะช่องก่อน เทคนิคนี้ช่วยให้แนวผมดูเป็นธรรมชาติและลดอัตราการหลุดร่วงของกราฟต์ ราคาก็จะสูงกว่า FUE โดยเริ่มต้นที่ 80,000-150,000 บาท ถ้าใครต้องการปลูกแนวไรผมให้ดูละเอียด หรืออยากให้เส้นผมแน่นขึ้น DHI เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจครับ - เทคนิค Long Hair FUE
เทคนิคนี้เหมาะสำหรับคนที่ ไม่ต้องการตัดผมสั้น ก่อนปลูก เพราะสามารถปลูกผมโดยไม่ต้องโกนผมบริเวณท้ายทอย ซึ่งช่วยให้สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติหลังทำเสร็จ แต่เนื่องจากเป็นเทคนิคที่ใช้เวลามากกว่า และต้องอาศัยความชำนาญของแพทย์สูง ราคาจึงเริ่มต้นที่ 100,000 บาทขึ้นไป เหมาะสำหรับคนที่ต้องการปลูกผมแต่ไม่อยากเปลี่ยนลุคตัวเองมากเกินไป
หลังปลูกผมต้องกินยาไหม
การใช้ยาหลังปลูกผมขึ้นอยู่กับสภาพเส้นผมของแต่ละคน และขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น อายุ ระดับฮอร์โมน การมีแนวโน้มศีรษะล้านเพิ่มเติม และสุขภาพของเส้นผมเดิม เรามาดูกันครับว่ายาที่มักใช้หลังปลูกผมมีอะไรบ้าง และแต่ละตัวช่วยอะไรได้
1. ฟิแนสเทอไรด์ – ยายอดนิยมสำหรับลดผมร่วง
Finasteride หรือชื่อทางการค้าที่หลายคนรู้จักอย่าง Propecia เป็นยาที่ใช้กันแพร่หลายสำหรับผู้ที่มีปัญหาศีรษะล้านแบบกรรมพันธุ์ (Androgenetic Alopecia) ยาตัวนี้ทำงานโดย ยับยั้งฮอร์โมน DHT (Dihydrotestosterone) ซึ่งเป็นตัวการหลักที่ทำให้ผมร่วง โดยเฉพาะในผู้ชายที่มีแนวโน้มผมบางหรือเถิกจากกรรมพันธุ์
คำถามคือ… แล้วจำเป็นต้องกินไหม?
ถ้าเป็นคนที่มีแนวโน้มผมร่วงจากกรรมพันธุ์อยู่แล้ว หรือมีผมบางเพิ่มเติมในบริเวณที่ไม่ได้ปลูกผม แพทย์มักจะแนะนำให้ใช้ Finasteride เพื่อช่วยชะลอการหลุดร่วงของเส้นผมเดิม ไม่ใช่แค่เพื่อช่วยให้ผมปลูกขึ้นดี แต่ยังป้องกันไม่ให้ผมบริเวณอื่นบางลงไปอีก
2. ไมน็อกซิดิล – ยาทาที่ช่วยกระตุ้นการงอกของเส้นผม
อีกตัวที่แพทย์มักแนะนำหลังปลูกผมคือ Minoxidil ซึ่งเป็นยาที่มีทั้งแบบ ทา (โฟมหรือโลชั่น) และแบบ กิน (สำหรับบางกรณี) โดยทำหน้าที่ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดบริเวณหนังศีรษะ ส่งผลให้เส้นผมที่ปลูกไปและผมเดิมได้รับสารอาหารดีขึ้นและงอกขึ้นได้เร็วขึ้น
แล้วต้องใช้ไหม?
หากแพทย์แนะนำให้ใช้ แสดงว่าคุณอาจมีแนวโน้มผมบางเพิ่มเติม หรือผมที่ปลูกไปต้องการตัวช่วยเพื่อ
ให้ขึ้นเร็วขึ้น Minoxidil จะช่วยให้ผมขึ้นเร็วขึ้นและลดช่วง Shock Loss ได้ โดยปกติแล้วต้องใช้ต่อเนื่อง 3-6 เดือนขึ้นไปเพื่อให้เห็นผลที่ชัดเจน
3. ยาบำรุงเส้นผม วิตามิน และ PRP
นอกจากยารักษาผมร่วงโดยตรงแล้ว การบำรุงเส้นผมด้วยวิตามินและการทำ PRP (Platelet-Rich Plasma) ก็เป็นตัวช่วยที่ดีครับ
- Biotin (ไบโอติน) – วิตามินที่ช่วยเสริมสร้างเคราตินให้กับเส้นผม ทำให้ผมที่ขึ้นใหม่แข็งแรง ไม่เปราะขาดง่าย
- Zinc (สังกะสี) – ช่วยเรื่องการเจริญเติบโตของเส้นผมและลดความมันบนหนังศีรษะ
- PRP Treatment – เป็นการฉีดพลาสมาที่สกัดจากเลือดของตัวเองเข้าสู่หนังศีรษะ ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของรากผมและทำให้ผมที่ปลูกไปแข็งแรงขึ้น
สรุปรวมคำถามเกี่ยวกับการปลูกผม
การปลูกผมเป็นวิธีแก้ปัญหาผมร่วงที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน คำถามที่พบบ่อยนี้ช่วยให้คุณเตรียมพร้อมและมั่นใจก่อนการปลูกผม หากคุณกำลังมองหาคลินิกที่ได้มาตรฐาน 42G Clinic ยินดีให้คำปรึกษาและบริการที่ครอบคลุมทุกความต้องการ
นอกจากการปลูกผมแล้ว หากคุณต้องการ เสริมจมูก เพื่อปรับรูปหน้าให้สมดุล Pmed Clinic มีทีมศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการเสริมจมูกแบบ Open Rhinoplasty ที่ช่วยให้ได้ทรงจมูกสวยเป็นธรรมชาติ สนใจดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับศัลยกรรมจมูกได้ที่ Pmed Clinic
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเสริมจมูก: Pmed Clinic เสริมจมูก